รู้หรือไม่ว่า
ไนจีเรีย ส่งออกน้ำมันมากอันดับต้นๆของโลก แต่ประชากร 70% กลับมีฐานะยากจน
พวกเขาเกิดมาในดินแดนแห่งความมั่งคั่งแต่กลับไม่มีโอกาสได้เข้าถึง
ก็เหมือนกับหลายๆประเทศทั่วโลก มนุษย์พยายามจะลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน แต่ช่วงระยะ 50 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าช่องว่างที่ว่านั้นกลับยิ่งกว้างมากขึ้นกว่าเดิม
ทุกวันนี้ครึ่งหนึ่งของความร่ำรวยอยู่ในมือคนเพียง 2% ของประชากรโลก ทุกสัปดาห์มีคนอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองกว่า
7 ล้านคนทั่วโลก มนุษย์ 1 ใน 6 มีชีวิตอยู่อย่างอันตราย ไร้สุขอนามัย
ในสภาพแวดล้อมที่แออัด ปราศจากสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น น้ำ สุขอนามัย
และไฟฟ้า ทั่วทั้งโลกคนจนดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยความยากลำบาก
ในขณะที่คนร่ำรวยก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดเอาทรัพยากรโลกขึ้นมาอย่างกับว่าชีวิตนี้จะขาดไม่ได้
แม้ว่าจะกำลังเผชิญอยู่กับสภาวะที่น้ำมันเริ่มหมด พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้
เปลี่ยนแนวไปขุดทรายที่มีน้ำมันกันต่ออีก
และแม้ว่ากระบวนการที่ทำให้ร้อนเพื่อแยกน้ำมันดิบออกจากทรายนี้จะต้องใช้น้ำระดับล้านคิวบิกเมตรเลยก็ตาม
หรือมลพิษจะร้ายแรง พวกเขาก็ไม่เคยสนใจว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้ใครบ้างรึเปล่า?
อีกไม่กี่สิบปีคาร์บอนฯจะทำให้ชั้นบรรยากาศเป็นเหมือนเตาอบ
ระบบนิเวศไม่มีพรมแดน
ไม่ว่าผู้กระทำจะอยู่ส่วนไหนของโลก แต่ผลจะกระทบคนทั้งโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บรรยากาศของโลกแบ่งออกเป็นส่วนก็ไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ใช้ร่วมกัน
มนุษย์ทำลายทรัพยากรธรรมชาติทำให้โลกร้อน พอโลกร้อนน้ำแข็งก็ละลาย
เมื่อน้ำมีปริมาณมากขึ้น แผ่นดินก็จะเหลือน้อยลง แต่ประชากรเท่าเดิม
มันจะเป็นยังไงลองคิดกันดู
สำหรับคนที่ร่ำรวยก็อาจจะไม่เป็นปัญหามากหากจะโยกย้ายที่อยู่อาศัยไปในที่ที่ปลอดภัย
แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนที่ยากจนอยู่แล้ว พวกเขาคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องก้มหน้ารับกรรมที่ตนเองไม่ได้ก่อนั้นต่อไป
แล้วเราพอทำอะไรได้บ้างไหม?
แม้ว่าจะกู้โลกเอาไว้ไม่ได้
แต่อย่างน้อยก็ช่วยชะลอความหายนะให้บางเบาลงได้บ้างก็ยังดี
ตอนนี้มีหลายๆประเทศได้รับผลกระทบกันแล้ว อย่างเช่น บังกลาเทศ
ผู้คนอยู่กันไม่ได้หนีตายย้ายถิ่นฐานกลายเป็นคนร่อนเร่เกือบทั้งประเทศ
ออสเตเลียก็เช่นกัน พื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหายเกินกว่า 50% เข้าไปแล้ว เราเหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึง 10 ปีก่อนที่บรรยากาศในโลกนี้จะเปลี่ยนไปเป็นสภาวะเรือนกระจก
หรือจะเรียกอีกอย่างว่าจุดเริ่มต้นของหายนะ ถ้าทุกคนบนโลกร่วมมือร่วมใจลุกขึ้นมาทำอะไรให้มันจริงจัง
บางทีพวกเราอาจจะหลีกเลี่ยงความหายนะนั้นได้ทัน
และที่มันต้องเป็นแบบนั้นก็เพราะการกระทำของพวกเราเองทุกคน
–ประชากรโลก 20% แต่ใช้ทรัพยากรโลกไปถึง 80%
-โลกทุ่มงบประมาณด้านอาวุธมากกว่าให้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณในประเทศที่กำลังพัฒนามากถึง
12 เท่า
-มีคนตายวันละ 5,000 คน เนื่องจากดื่มน้ำที่มีมลพิษ มนุษย์ 1 พันล้านคนไม่อาจเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด
-มีผู้คนเกือบ 1 พันล้านคนต้องหิวโหย
-ข้าวมากกว่า
50% ทั่วโลกกลายเป็นอาหารสัตว์ หรือเชื้อเพลิงชีวภาพ
-พื้นที่อุดมสมบูรณ์ร้อยละ
40 คุณภาพต่ำลง
-ทุกๆปี
ป่าจะหายไป 13 ล้านเฮกตา
-สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
1 ใน 4 นก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 1 ใน 3
ใกล้จะสูญพันธุ์ และสัตว์ตายเร็วกว่าวัยธรรมชาติเกือบถึง 1000 เท่า
-3 ใน 4
ของพื้นที่ประมงมีปลาน้อยลง หรือลดลงอย่างน่ากลัว
-อุณหภูมิเฉลี่ยของ
15 ปีหลังสุดเป็นอุณภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ที่เคยมีมา
-ความหนาของชั้นน้ำแข็งบางกว่าเมื่อ
40 ปีก่อนถึง 40%
-จะมีผู้ลี้ภัยเพราะสภาพอากาศอย่างน้อย
200 ล้านคน ในปี ค.ศ.2050
นับวันค่ายผู้ลี้ภัยกลางทะเลทรายก็ยิ่งขยายกว้างมากยิ่งขึ้น
จะต้องมีผู้คนอีกเท่าไหร่ที่ถูกทิ้งไว้ข้างทาง
หรือต้องรอจนกว่าจะถึงวันนั้น..วันที่สายเกินไป
////
#ทานตะวันสีชมพู #ladygemini #venus /ผู้เขียน
( ขอบคุณที่มาข้อมูลจากหลายๆเว็บไซด์ ในกุเกิ้ล และยูทูบ )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น