Translate

☆✵*゚¨゚✎♡.นิยามความรัก

"ความรัก" สำหรับบางคนอาจผ่านมานานๆครั้ง 
และนั่นก็เป็นเหตุผล ที่ทำให้ความรักมันยังคงอยู่กับฉัน
ถึงแม้จะเป็นเพียง"ความทรงจำ"ก็ตาม
มีหลายคนบอกว่าชีวิตนี้จะรักใครได้มากที่สุดเพียงแค่ครั้งเดียว 
สำหรับเราแล้ว ใช่ "มันเป็นอย่างนั้นจริง"
ใจฉันเป็นของเธอ
https://www.youtube.com/watch?v=_bMsoniL8mA

โรคต่างๆในภาษาอังกฤษ

I have... ฉันเป็นโรค...
- migraines โรคปวดหัวไมเกรน
- period pains หรือ period cramps อาการปวดประจำเดือน
- chicken pox (ชิก-เก้น-พ็อกซ์) โรคอีสุกอีใส
- measles โรคหัด
- ulcers โรคแผลในกระเพาะ
- appendicitis (อะเพนดะไส้ดิส) โรคไส้ติ่งอักเสบ
- cystitis (ซิสไต้เติส) โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- diabetes [ไดยาบี้ดีส] โรคเบาหวาน 
- high/ต่ำ blood pressure โรคความดันสูง/ต่ำ
- high blood cholesterol โรคไขมันในเลือดสูง
- cancer โรคมะเร็ง
- a heart disease หรือ a heart condition โรคหัวใจ
- asthma [แอสเมอ: <th> ไม่ออกเสียง] โรคหอบหืด
- hemorrhoid (เฮมมะรอยด์) โรคริดสีดวง
- a fracture กระดูกแตก, หัก
- nearsightedness โรคสายตาสั้น
- farsightedness โรคสายตายาว
- astigmatism โรคสายตาเอียง
- pink eye โรคตาแดงจากไวรัส
- squint โรคตาเหล่, ตาเข
- cataract โรคต้อกระจก
- glaucoma โรคต้อหิน
- depression โรคซึมเศร้า
- insomnia โรคนอนไม่หลับ
- a mental illness ความเจ็บป่วยทางจิต
- stroke โรคหลอดเลือดในสมองตีบ, แตก
- Alzheimer’s โรคอัลไซเมอร์
- kidney failure โรคไตวาย
- pneumonia [นุมโม่วเนีย] โรคปอดบวม, โรคปอดอักเสบ
- TB [ทีบี] หรือ tuberculosis วัณโรค
- tonsillitis (ทอนเซอไล่เติส) ต่อมทอนซิลอักเสบ
- mumps โรคคางทูม
- menopause อาการประจำเดือนใกล้หมด (เวลาอายุมากแล้ว)

♞จักรวรรดิโรมัน

        จักรพรรดิ แห่ง จักรวรรดิโรมันตะวันตก และ จักรวรรดิโรมันตะวันออก

สมัยแรก
27 ก.ค.ศ. – ค.ศ. 235
ออกัสตัส • ไทบีเรียส • คาลิกูลา • คลอเดียส • นีโร • กาลบา • โอโธ • ไวเทลเลียส • เวสเปเซียน • ไททัส •โดมิเชียน • เนอร์วา • ทราจัน • เฮเดรียน • อันโตนินัส ไพอัส • มาร์คัส ออเรลิอัส และ ลูซิอัส เวรัส •คอมโมดัส • เพอร์ทิแน็กซ์ • ไดดิอัส จูลิอานัส • เซ็พติมิอัส เซเวอรัส • คาราคัลลา • พูบลิอัส เซ็พติมิอัส เกธา •มาครินัส และ ไดอะดูเมเนียน • เอลากาบาลัส • อเล็กซานเดอร์ เซเวรัส

วิกฤติกาล
ค.ศ. 235 – ค.ศ. 284
แม็กซิมินัส แทร็กซ์ • กอร์เดียนที่ 1 และ กอร์เดียนที่ 2 • พูพิเอนัส และ บาลบินัส • กอร์เดียนที่ 3 •ฟิลิปเดอะอาหรับ • เดซิอัส และ เฮเร็นนิอัส อีทรัสคัส • โฮสติเลียน • เทรโบนิอานัส กาลลัส และ โวลุซิอานัส •เอมิลิอานัส • วาเลเรียน • กาลลิเอนัส • คลอเดียส กอธิคัส • ควินทิลลัส • ออเรเลียน • แทซิทัส • โฟลริอานัส •โพรบัส • คารัส

เรืองอำนาจ
ค.ศ. 284 – ค.ศ. 395
ไดโอคลีเชียน • แม็กซิเมียน • คอนสแตนติอัส คลอรัส • กาเลริอัส • เฟลเวียส วาเลริอัส เซเวรัส • แม็กเซ็นติอัส• แม็กซิมินัส ดาเอีย • ลิซินิอัส และ วาเลริอัส วาเล็นส์ และ มาร์ตินิอานัส • คอนสแตนตินที่ 1 •คอนสแตนตินที่ 2 • คอนสแตนที่ 1 • คอนสแตนติอัสที่ 2 • จูเลียนเดอะอโพสเตท • โจเวียน • วาเล็นติเนียนที่ 1• วาเล็นส • กราเชียน • วาเล็นติเนียนที่ 2 • ธีโอโดเซียสที่ 1

โรมันตะวันตก
ค.ศ. 395 – ค.ศ. 480
โฮโนริอัส • คอนสแตนติอัสที่ 3 • โจอันส์ • วาเล็นติเนียนที่ 3 • เพโตรนิอัส แม็กซิมัส • อาวิตัส • มาโจเรียน •ลิบิอัส เซเวอรัส • อันเธมิอัส • โอลิบริอัส • ไกลเซริอัส • จูเลียส เนโพส • โรมิวลัส ออกัสตัส

โรมันตะวันออก/ไบแซนไทน์
ค.ศ. 395 – ค.ศ. 1204
อาร์เคดิอัส • ธีโอโดเซียสที่ 2 • มาร์เชียน • เลโอที่ 1 • เลโอที่ 2 • เซโนที่ 1 • บาซิลิสคัส • อนาสตาซิออสที่ 1 •จัสตินที่ 1 • จัสติเนียนที่ 1 • จัสตินที่ 2 • ไทบีเรียสที่ 2 คอนสแตนติน • มอริซ • โฟคาส • เฮราคลิอัส •คอนสแตนตินที่ 3 • เฮราโคลนาส • คอนสแตนสที่ 2 • คอนสแตนตินที่ 4 • จัสติเนียนที่ 2 • ลีออนติออส •ไทบีเรียสที่ 3 • ฟิลิปปิคอส • อนาสตาซิออสที่ 2 • ธีโอโดเซียสที่ 3 • ลีโอที่ 3 เดอะอิซอเรียน •คอนสแตนตินที่ 5 • อาร์ตาบาสดอส • ลีโอที่ 4 เดอะคาซาร์ • คอนสแตนตินที่ 6 • ไอรีนแห่งเอเธนส์ •นิเคโฟรอสที่ 1 • สตอราคิออส • มิคาเอลที่ 1 • ลีโอที่ 5 เดอะอาร์มีเนียน • มิคาเอลที่ 2 เดอะสแตมเมอเรอร์ •ธีโอฟิโลส • มิคาเอลที่ 3 • บาซิลที่ 1 เดอะมาเซโดเนียน • ลีโอที่ 6 เดอะไวส์ • อเล็กซานเดอร์ •คอนสแตนตินที่ 7 • โรมานอสที่ 1 • โรมานอสที่ 2 • นิเคโฟรอสที่ 2 • จอห์นที่ 1 • บาซิลที่ 2 •คอนสแตนตินที่ 8 • โซอีเดอะมาเซโดเนียน • โรมานอสที่ 3 • มิคาเอลที่ 4 เดอะพาฟลาโกเนียน •มิคาเอลที่ 5 คาลาเฟตส • คอนสแตนตินที่ 9 โมโนมาคอส • ธีโอโดราเดอะมาเซโดเนียน •มิคาเอลที่ 6 เดอะเอจด์ • ไอแซ็คที่ 1 โคมเนนอส • คอนสแตนตินที่ 10 ดูคาส • โรมานอสที่ 4 ไดโอเจนีส •มิคาเอลที่ 7 ดูคาส • นิเคโฟรอสที่ 3 โบตาเนอาตีส • อเล็กซิออสที่ 1 โคมเนนอส • จอห์นที่ 2 โคมเนนอส •มานูเอลที่ 1 โคมเนนอส • อเล็กซิออสที่ 2 โคมเนนอส • อันโดรนิคอสที่ 1 โคมเนนอส • ไอแซ็คที่ 2 อันเจลอส •อเล็กซิออสที่ 3 อันเจลอส • อเล็กซิออสที่ 4 อันเจลอส • นิโคลอส คานาบอส • อเล็กซิออสที่ 5 ดูคาส

จักรวรรดิไนเซีย
ค.ศ. 1204 – ค.ศ. 1261
คอนสแตนตินลาสคาริส • ธีโอดอร์ที่ 1 ลาสคาริส • จอห์นที่ 3 ดูคาส วาตัทซีส • ธีโอดอร์ที่ 2 ลาคาสริส •จอห์นที่ 4 ลาสคาริส

โรมันตะวันออก/ไบแซนไทน์
ค.ศ. 1261 – ค.ศ. 1453
มิคาเอลที่ 8 พาลาโอโลกอส • อันโดรนิคอสที่ 2 พาลาโอโลกอส • มิคาเอลที่ 9 พาลาโอโลกอส •อันโดรนิคอสที่ 3 พาลาโอโลกอส • จอห์นที่ 5 พาลาโอโลกอส • จอห์นที่ 6 คันตาคูเซนอส •แม็ทธิวคันตาคูเซนอส • อันโดรนิคอสที่ 4 พาลาโอโลกอส • จอห์นที่ 7 พาลาโอโลกอส •อันโดรนิคอสที่ 5 พาลาโอโลกอส • มานูเอลที่ 2 พาลาโอโลกอส • จอห์นที่ 8 พาลาโอโลกอส •คอนสแตนตินที่ 11 พาลาโอโลกอส




〓ประเทศรัสเซีย

 สหพันธรัฐรัสเซีย
Российская Федерация (รัสเซีย)
เมืองหลวง
(และเมืองใหญ่สุด) มอสโก
55°45′N 37°37′E / 55.750°N 37.617°E
ภาษาราชการ ภาษารัสเซีย
การปกครอง สหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี
 - ประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน
 - นายกรัฐมนตรี ดมีตรี เมดเวเดฟ
 - ประธานสภาสหพันธ์ วาเลนตินา มัตวิเยนโก
 - ประธานสภาดูมา เซียเกย์ นารีชกิน
ก่อตั้ง
 - ราชวงศ์รูริก พ.ศ. 1405 
 - จักรวรรดิเคียฟรุส พ.ศ. 1425 
 - วลาดีมีร์-ซุซดัล พ.ศ. 1712 
 - แกรนด์ดัชชีมอสโก พ.ศ. 1826 
 - ซาร์รัสเซีย 16 มกราคม พ.ศ. 2090 
 - จักรวรรดิรัสเซีย 22 ตุลาคม พ.ศ. 2264 
 - สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 
 - สหภาพโซเวียต 10 ธันวาคม พ.ศ. 2465 
 - สหพันธรัฐรัสเซีย 25 ธันวาคม พ.ศ. 2534 
พื้นที่
 - รวม [[1 E12 m² | 17,098,242
17,124,442 (รวม ไครเมีย และ เซวัสโตปอล) ตร.กม.]] (1)
6,592,745 ตร.ไมล์ 
 - แหล่งน้ำ (%) 4.2 [1]
ประชากร
 - 2557 (ประเมิน) 143,700,000[2]
146,046,001 (รวม ไครเมีย และ เซวัสโตปอล) (9)
 - ความหนาแน่น 8.3 คน/ตร.กม. (217)
21.5 คน/ตร.ไมล์
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2554 (ประมาณ)
 - รวม 2.376 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ[3] (6)
 - ต่อหัว 16,840 ดอลลาร์สหรัฐ[3] 
จีดีพี (ราคาตลาด) 2554 (ประมาณ)
 - รวม 1.894 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[3] (9)
 - ต่อหัว 13,542 ดอลลาร์สหรัฐ[3] 
จีนี (2551) 42.3[4] 
HDI (2554) ▲ 0.755[5] (สูง) (66)
สกุลเงิน รูเบิล (RUB)
เขตเวลา (UTC+2 ถึง +12)
 - (DST) (UTC+3 ถึง +13)
โดเมนบนสุด .ru, .su, .рф
รหัสโทรศัพท์ +7
รัสเซีย (รัสเซีย: Россия, ถอดเสียง ราซียา; [rɐˈsʲijə]) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหพันธรัฐรัสเซีย (รัสเซีย: Российская Федерация, ถอดเสียง ราซีย์สกายาฟิดิรัตซียา; [rɐˈsʲijskəjə fʲɪdʲɪˈratsɨjə])[6] เป็นประเทศในยูเรเชียเหนือ และเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในโลก กว่า 10,000,000 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยของโลกถึงหนึ่งในแปด รัสเซียยังเป็นชาติมีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลก โดยมีประชากร 143 ล้านคน[7][8] รัสเซียปกครองด้วยระบอบสหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี ประกอบด้วย 83 เขตการปกครอง ไล่จากตะวันตกเฉียงเหนือถึงตะวันออกเฉียงใต้ รัสเซียมีพรมแดนติดกับนอร์เวย์ ฟินแลนด์ เอสโตเนียลัตเวีย ลิทัวเนีย และโปแลนด์ (ทั้งสองผ่านมณฑลคาลินินกราด) เบลารุส ยูเครน จอร์เจีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน จีน มองโกเลียและเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังมีพรมแดนทางทะเลติดกับญี่ปุ่นโดยทะเลโอฮอตสก์ และสหรัฐอเมริกาโดยช่องแคบแบริง อาณาเขตของรัสเซียกินเอเชียเหนือทั้งหมดและ 40% ของยุโรป แผ่ข้ามเก้าเขตเวลาและมีสิ่งแวดล้อมและธรณีสัณฐานหลากหลาย รัสเซียมีปริมาณทรัพยากรแร่ธาตุและพลังงานสำรองใหญ่ที่สุดของโลก[9] และเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก[10] เช่นเดียวกับผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งทั่วโลก[11] รัสเซียมีป่าไม้สำรองใหญ่ที่สุดในโลกและทะเลสาบในรัสเซียบรรจุน้ำจืดประมาณหนึ่งในสี่ของโลก[12]
ประวัติศาสตร์ของชาติเริ่มขึ้นด้วยชาวสลาฟตะวันออก ผู้ถือกำเนิดขึ้นเป็นกลุ่มที่โดดเด่นได้ในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงที่ 8[13] รัฐรุสในสมัยกลาง ซึ่งก่อตั้งและปกครองโดยอภิชนนักรบวารันเจียนและผู้สืบเชื้อสาย เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ใน พ.ศ. 1531 มีการรับศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์จากจักรวรรดิไบแซนไทน์[14]เริ่มต้นการประสมวัฒนธรรมไบแซนไทน์และสลาฟซึ่งนิยามวัฒนธรรมรัสเซียเป็นเวลาอีกสหัสวรรษหน้า[14] ท้ายที่สุด รุสล่มสลายเป็นรัฐขนาดเล็กหลายรัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ของรุสถูกพิชิตโดยการรุกรานของมองโกล และกลายเป็นรัฐบรรณาการของโกลเดนฮอร์ดเร่ร่อน[15] อาณาจักรแกรนด์ดยุคแห่งมอสโกค่อย ๆ รวมราชรัฐรัสเซียในละแวก ได้รับเอกราชจากโกลเดนฮอร์ด และมาครอบงำมรดกทางวัฒนธรรมและการเมืองของเคียฟรุส จนคริสต์ศตวรรษที่ 18 รัสเซียได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางผ่านการพิชิตดินแดน การผนวก และการสำรวจเป็นของจักรวรรดิรัสเซีย นับเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ แผ่จากโปแลนด์ในยุโรปจรดอะแลสกาในอเมริกาเหนือ[16][17]
หลังการปฏิวัติรัสเซีย รัสเซียกลายมาเป็นสาธารณรัฐใหญ่ที่สุดและผู้นำในสหภาพโซเวียต เป็นรัฐสังคมนิยมมีรัฐธรรมนูญแห่งแรกของโลกและอภิมหาอำนาจที่ได้การยอมรับ[18] ซึ่งมีบทบาทสำคัญในชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง[19][20] สมัยโซเวียตได้ประสบความสำเร็จทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศตรวรรษที่ 20 รวมทั้งการส่งมนุษย์คนแรกขึ้นสู่อวกาศ สหพันธรัฐรัสเซียก่อตั้งขึ้นหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534 แต่ได้รับการยอมรับเป็นสภาพบุคคลสืบทอดจากสหภาพโซเวียต[21]
รัสเซียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับที่ 11 ของโลกโดยจีดีพีมูลค่าตลาด หรือใหญ่ที่สุดอันดับที่ 6 โดยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ โดยมีงบประมาณทางทหารมากที่สุดอันดับที่ 5 ของโลก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจธุรกิจจัดอันดับรัสเซียเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกใน พ.ศ. 2554 ขึ้นจากอันดับที่ 10 ใน พ.ศ. 2553 รัสเซียเป็นหนึ่งในห้ารัฐอาวุธนิวเคลียร์ที่ได้รับการรับรองและครอบครองคลังแสงอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงใหญ่ที่สุดในโลก[22] รัสเซียเป็นมหาอำนาจและสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สมาชิกจี 8 จี 20 สภายุโรปและความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ประชาคมเศรษฐกิจยูเรเซียองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป องค์การการค้าโลก และเป็นสมาชิกผู้นำเครือจักรภพรัฐเอกราช
== ภูมิศาสตร์ ==กุ้ง ดินแดนอันกว้างใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซียครอบคลุมพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือเหนือของทวีปยูเรเชีย จุดที่ห่างไกลกันที่สุดของรัสเซีย ซึ่งได้แก่ชายแดนที่ติดต่อกับโปแลนด์และหมู่เกาะคูริล มีระยะห่างถึง 8,000 กิโลเมตร ทำให้รัสเซียมีถึง 11 เขตเวลา[23] รัสเซียมีเขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก[12] และถูกเรียกว่าเป็น "ปอดของยุโรป"[24] เพราะปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซึมนั้นเป็นรองเพียงแค่ป่าดิบชื้นแอมะซอนเท่านั้น[24] รัสเซียมีทางออกสู่มหาสมุทรถึงสามแห่ง ได้แก่มหาสมุทรแอตแลนติก อาร์กติก และแปซิฟิก จึงทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของสินค้าประมงในโลก[25]
พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ทางตอนใต้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสเตปป์ มีป่าไม้มากทางตอนเหนือ และมีพื้นที่แบบทุนดราตามชายฝั่งทางเหนือ เทือกเขาจะอยู่ตามชายแดนทางใต้ เช่นเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งมียอดเขาเอลบรุส ที่มีความสูง 5,642 เมตรและเป็นจุดสูงสุดของรัสเซียและยุโรป หรือเทือกเขาอัลไต และทางตะวันออก เช่นเทือกเขาเวอร์โฮยันสค์ หรือภูเขาไฟในแหลมคัมชัตคา เทือกเขาอูรัลทางตะวันตกวางตัวเหนือใต้และเป็นเขตแดนทางธรรมชาติของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป
รัสเซียมีชายฝั่งที่ยาวถึง 37,000 กิโลเมตร ตามแนวมหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลบอลติก ทะเลอะซอฟ ทะเลดำ และทะเลแคสเปียน[26] นอกจากนั้น รัสเซียยังมีทางออกสู่ทะเลแบเร็นตส์ ทะเลขาว ทะเลคารา ทะเลลัปเตฟ ทะเลไซบีเรียนตะวันออก ทะเลชุคชี ทะเลเบริง ทะเลโอคอตสค์ และทะเลญี่ปุ่น เกาะและหมู่เกาะที่สำคัญได้แก่ หมู่เกาะโนวายาเซมเลีย หมู่เกาะฟรัสซ์โยเซฟแลนด์ หมู่เกาะเซเวอร์นายาเซมเลีย หมู่เกาะนิวไซบีเรีย เกาะแวรงเกล เกาะคูริล และเกาะซาคาลิน เกาะดีโอมีด (ซึ่งเกาะหนึ่งปกครองโดยรัสเซีย ส่วนอีกเกาะปกครองโดยสหรัฐอเมริกา) อยู่ห่างกันเพียง 3 กิโลเมตร และเกาะคุนาชิร์ก็อยู่ห่างจากฮกไกโดเพียงประมาณ 20 กิโลเมตร

ประวัติศาสตร์รัสเซีย
ชาวสลาฟตะวันออกเป็นชนชาติแรกที่เข้ามาตั้งถื่นฐานในรัสเซียบริเวณแม่น้ำนีเปอร์และแม่น้ำวอลกาทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนทางตอนเหนือชนชาติสแกนดิเนเวียและไวกิ้งที่รู้จักกันในนามวารันเจียน ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำเนวา และทะเลสาบลาโดกา ทำการติดต่อค้าขายกับชาวสลาฟ แต่แล้วในปี ค.ศ. 880 กษัตริย์แห่งวาแรนเจียนนามรูริค ก็เข้ามายึดเมืองเคียฟของชาวสลาฟและตั้งเคียฟเป็นเมืองหลวง โดยผนวกดินแดนทางเหนือกับใต้เข้าด้วยกันแล้วขนานนามว่า เคียฟรุส (Kievan Rus') และสถาปนาราชวงศ์รูริคขึ้น
ในปี ค.ศ. 978 เจ้าชายวลาดีมีร์ โมโนมัค ขึ้นครองราชย์และทรงนำศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์เข้าสู่รัสเซีย ซึ่งต่อมามีบทบาทและอิทธิพลอย่างสูงต่อศิลปะ สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของประเทศ ในช่วงศตวรรษที่ 11 เคียฟเป็นนครหลวง ศูนย์รวมของอำนาจกษัตริย์และเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ในขณะที่เมืองอื่น ๆ ก็มีประชากรก่อตั้งขึ้นมาเช่นกัน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวอ้างถึงมอสโกครั้งแรกในปี ค.ศ. 1147 ว่าเจ้าชายยูริ ดอลโกรูกี มกุฎราชกุมารแห่งนครเคียฟ มีรับสั่งให้สร้างป้อมปราการไม้หรือ "เครมลิน" ขึ้นที่เนินเขาโบโรวิตสกายา ริมแม่น้ำมอสควา และตั้งชื่อเมืองว่า มอสโก

อาณาจักรมัสโควี

ต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 กองทัพมองโกลนำโดยบาตูข่านเข้ารุกรานรัสเซียและยึดเมืองเคียฟได้สำเร็จ หลังจากนั้นรัสเซียก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก โดยถูกควบคุมทางการเมือง การปกครอง และยังต้องจ่ายภาษีให้กับชาวมองโกล กษัตริย์และพระราชาคณะจึงย้ายศูนย์กลางอำนาจขึ้นมาทางตอนเหนือ
ในปี 1328 พระเจ้าอีวานที่ 1 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีฉายาว่าอีวานถุงเงิน เนื่องจากทรงเก็บส่วยและเครื่องบรรณาการเพื่อส่งให้แก่ชาวมองโกล และในยุคนี้เองที่กษัตริย์ได้ย้ายที่ประทับมาที่มอสโก ต่อมาในยุคของพระเจ้าอีวานที่ 2 (ค.ศ. 1353-1359) ชาวมองโกลเริ่มเสื่อมอำนาจ เจ้าชายดมิตรี โอรสแห่งพระเจ้าอีวานที่ 2 ทรงขับไล่มองโกลได้สำเร็จในการรบที่คูลีโคโวบนฝั่งแม่น้ำดอน ต่อมาในปี 1380 พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็น ดมีตรี ดอนสกอย (ดมีตรีแห่งแม่น้ำดอน) ได้รวมเมืองวลาดิมีร์และซุลดัล อันเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรมัสโควี และยังได้บูรณะเครมลินเป็นกำแพงหินขาวแทนไม้โอ๊ก มอสโกจึงมีอีกชื่อเรียกว่า เมืองกำแพงหินขาว ในยุคนั้น แต่เพียงไม่นานพวกตาตาร์ก็กลับมาทำลายเครมลินจนพินาศ รัสเซียต้องเป็นเมืองขึ้นของตาตาร์อีกครั้งหนึ่งในปี 1382
จนเข้าสู่สมัยของพระเจ้าอีวานที่ 3 หรือพระเจ้าอีวานมหาราช (ค.ศ. 1462-1505) พระองค์ทรงอภิเษกกับหลานสาวของจักรพรรดิองค์ก่อนแห่งไบแซนไทน์ในปี 1472 และรับอินทรีสองเศียรเป็นสัญลักษณ์ของรัสเซีย ในยุคของพระองค์ได้รวบรวมดินแดนให้กลับเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1480 ทรงขับไล่กองกำลังตาตาร์ออกจากรัสเซียจนหมดสิ้น ปิดฉากสองศตวรรษภายใต้การปกครองของมองโกล ทรงบูรณะเครมลินให้เป็นหอคอยสูงและโบสถ์งดงามไว้ภายในเครมลิน นับเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของรัสเซีย
ปี 1574 พระเจ้าอีวานที่ 4 (1533-1584) หลานของพระเจ้าอีวานมหาราช ได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าซาร์องค์แรก (ซาร์ มาจากคำว่า ซีซาร์ ผู้ครองอำนาจแห่งจักรวรรดิโรมันและไบแซนไทน์) พระองค์ทรงปกครองอาณาจักรด้วยความเหี้ยมโหด ปราศจากความเมตตา ว่ากันว่ามีรับสั่งให้ควักลูกตาสถาปนิกผู้ออกแบบสร้างมหาวิหารเซนต์บาซิล เพื่อมิให้สร้างสิ่งก่อสร้างที่งดงามเช่นนี้ได้ที่ใดอีก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงถูกขนานนามว่า อีวานผู้โหดเหี้ยม ต่อมาเมื่อหมดยุคของพระองค์ในปี ค.ศ. 1584 มอสโกก็ประสบปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง มีการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างราชวงศ์รูริค และโรมานอฟ ในที่สุดสมัชชาแห่งชาติและพระราชาคณะแห่งคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ก็มีมติเลือก มิคาอิล โรมานอฟ ขึ้นเป็นซาร์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์โรมานอฟ

 จักรวรรดิรัสการตัดสินใจเขาร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของซาร์นิโคลัสที่ 2 นั้นนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของทหารและชาวรัสเซียนับล้านที่เมื่อรัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การจลาจลเกิดขึ้นทั่วเมือง ในที่สุดปี 1917 จึงเกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบซาร์ พระเจ้านิโคลัสที่ 2 สละราชสมบัติ มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกิจเคอเรนสกีขึ้นบริหารประเทศ แต่พรรคบอลเชวิค (Bolshevik) นำโดยวลาดีมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศไว้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็น สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือ USSR)
ปี ค.ศ. 1918 ย้ายเมืองหลวงและฐานอำนาจกลับสู่มอสโก กระนั้นก็ยังมีผู้ไม่พอใจกับสภาพแร้นแค้น การขาดสิทธิเสรีภาพ จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เลนินถึงแก่อสัญกรรมในปี 1924 โจเซฟ สตาลิน (1924-1953) ขึ้นบริหารประเทศแทนด้วยความเผด็จการ และกวาดล้างทุกคนผู้ที่มีความคิดต่อต้าน เขาเปิดการพัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ จนเทียบเคียงสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาความอดอยาก ที่เรื้อรังมานานก็ยากเกินเยียวยา และยิ่งเลวร้ายเมื่อฮิตเลอร์สั่งล้อมมอสโกไว้ โดยเฉพาะที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกปิดล้อมไว้นานถึง 900 วันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวรัสเซียเรียกสงครามครั้งนั้นว่า มหาสงครามของผู้รักชาติ (The Great Patriotic War) กระนั้นสตาลินก็มีบทบาทในการพิชิตนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1941-1945) นี้ไว้ได้
ปี ค.ศ. 1955 นีกีตา ครุชชอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำโดยมีแนวคิดในการบริหารประเทศที่เน้นการอยู่ร่วมกัน มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนผ่อนคลายความเข้มงวดให้น้อยกว่าสมัยสตาลิน รวมถึงเปิดเครมลินเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนได้เข้าชมอีกด้วย ปี 1964 ครุชชอฟลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแทน เบรจเนฟแผ่อิทธิพลไปถึงจีน คิวบา และอัฟกานิสถาน เพิ่มความเครียดไปทั่วโลก เขาจึงนำนโยบายต่างประเทศที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ การผ่อนคลายความตึงเครียด มาใช้โดยปี1980 มอสโกได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 22
ปี ค.ศ. 1985 มิฮาอิล กอร์บาชอฟขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมิวนิสต์ เขาเป็นผู้นำการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เรียกว่า เปเรสตรอยกา(Perestroyka) โดยนำพาประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยม มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาฝีมือแรงงานรวมถึงเสนอนโยบายเปิดกว้างกลาสนอสต์ (Glasnost) คือให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชน มีการติดต่อด้านการค้ากับตะวันตก รวมถึงถอนกำลังออกจากยุโรปตะวันออกและอัฟกานิสถานและยังได้เข้าร่วมกับองค์การนาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ในปี ค.ศ. 1990 กอร์บาชอฟได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รวมถึงได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์เป็นบุรุษแห่งทศวรรษ (Man of the Decade) กระนั้นปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความล้าหลังทางการผลิตที่สั่งสมมานานก็ทำให้นโยบายเปเรสตรอยกาล้มเหลว ความนิยมในกอร์บาชอฟเริ่มตกลง ต่อมาเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม 1991 โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดเสรี แต่บอริส เยลต์ซิน ก็สามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ กอร์บาชอฟจึงสิ้นคะแนนนิยมอย่างแท้จริง เขาประกาศลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงประกาศยกเลิกพรรคคอมมิวนิสต์ต่อหน้ามหาชน พร้อมด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของเยลต์ชิน สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย สาธารณรัฐต่างๆ ทั้ง 15 สาธารณรัฐแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งสาธารณรัฐรัสเซีย (Russian SFSR) ภายใต้ชื่อใหม่ว่า สหพันธรัฐรัสเซียเซีย
ค.ศ. 1613-1917 พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช (ค.ศ. 1682-1725) ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซีย พระองค์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ 10 ชันษา พร้อมกับพระเจ้าอีวานที่ 5 (เป็นกษัตริย์บัลลังก์คู่) จนในปี 1696 เมื่อพระเจ้าอีวานที่ 5 สิ้นพระชนม์ พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช จึงมีพระราชอำนาจโดยแท้จริง ในยุคของพระองค์ทรงขยายอาณาเขตรัสเซียออกไปทางตะวันออกถึงวลาดีวอสตอค และทรงใช้นโยบายสู้ตะวันตก ทรงนำรัสเซียเข้าสู่ยุคใหม่ โดยในปีค.ศ. 1712 ทรงย้ายเมืองหลวงจากมอสโกมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งกองทหารราชนาวีขึ้นในรัสเซีย ทั้งยังทรงนำช่างฝีมือจากฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มาสร้างวิหารและพระราชวังที่งดงามอีกมากมาย และทรงนำพาจักรวรรดิรัสเซียให้เป็นที่รู้จักเกรียงไกรในสังคมโลก ถัดจากพระเจ้าปีเตอร์มหาราชยังมีซาร์และซารีนาอีกหลายพระองค์ที่สืบราชบัลลังก์ ทว่าผู้ที่สร้างความเจริญเฟื่องฟูให้กับรัสเซียสูงสุด ได้แก่ พระนางเจ้าแคทเธอรีนที่ 2 (ค.ศ. 1762-1796) พระนางได้รับการยกย่องให้เป็นราชินี ด้วยทรงเชี่ยวชาญด้านการปกครองอย่างมาก กระนั้นพระนางก็มีชื่อเสียงด้านลบด้วยพระนางมีคู่เสน่หามากมาย
ผู้สืบราชวงศ์องค์ต่อมาคือ พระเจ้าพอลล์ที่ 1 (ค.ศ. 1796-1801) พระราชโอรสของพระนางเจ้าแคทเทอรีน ทรงครองราชย์อยู่เพียงระยะสั้น จากนั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 (1801- 1825) พระราชโอรสสืบพระราชบัลลังก์ต่อ ในปี 1812 ทรงทำศึกชนะจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส แต่แล้วในช่วงปลายรัชกาล เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบบรัฐสภา ปี 1825 เกิดกบฏต่อต้านราชวงศ์ขึ้นในเดือนธันวาคม เรียก กบฏธันวาคม (Decembrist Movement) แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 (ค.ศ. 1825-1855) ก็ทรงปราบกลุ่มผู้ต่อต้านไว้ได้ พอมาในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (ค.ศ. 1855-1881) พระองค์ทรงมีฉายาว่า Tzar Liberator (ซาร์ผู้ปลดปล่อย) เนื่องจากพระองค์ทรงปลดปล่อยทาสติดที่ดิน (Serf) หลายล้านคนให้พ้นจากการเป็นทาส แต่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1881 ทิ้งไว้เพียงอนุสรณ์สถานที่สร้างอุทิศแด่พระองค์ ณ จุดที่ถูกลอบปลงพระชนม์ ซาร์องค์ต่อมาคือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (ค.ศ. 1881-1894) จนถึงซาร์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โรมานอฟ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 (1894-1917) ความเหลื่อมล้ำกันทางชนชั้น และความยากจน ก่อให้เกิดการปฏิวัติเป็นครั้งแรกโดนกรรมการชาวนาในปี 1905 ซึ่งมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า วันอาทิตย์เลือด Bloody Sunday และสุดท้ายคือการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 กระนั้นชนวนที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟและระบอบซาร์ถึงกาลอวสานก็มีปัจจัยอื่นเช่นกัน
สมัยสหภาพโซเวียต

การตัดสินใจเขาร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของซาร์นิโคลัสที่ 2 นั้นนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของทหารและชาวรัสเซียนับล้านที่เมื่อรัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การจลาจลเกิดขึ้นทั่วเมือง ในที่สุดปี 1917 จึงเกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบซาร์ พระเจ้านิโคลัสที่ 2 สละราชสมบัติ มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกิจเคอเรนสกีขึ้นบริหารประเทศ แต่พรรคบอลเชวิค (Bolshevik) นำโดยวลาดีมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศไว้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็น สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือ USSR)
ปี ค.ศ. 1918 ย้ายเมืองหลวงและฐานอำนาจกลับสู่มอสโก กระนั้นก็ยังมีผู้ไม่พอใจกับสภาพแร้นแค้น การขาดสิทธิเสรีภาพ จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เลนินถึงแก่อสัญกรรมในปี 1924 โจเซฟ สตาลิน (1924-1953) ขึ้นบริหารประเทศแทนด้วยความเผด็จการ และกวาดล้างทุกคนผู้ที่มีความคิดต่อต้าน เขาเปิดการพัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ จนเทียบเคียงสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาความอดอยาก ที่เรื้อรังมานานก็ยากเกินเยียวยา และยิ่งเลวร้ายเมื่อฮิตเลอร์สั่งล้อมมอสโกไว้ โดยเฉพาะที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกปิดล้อมไว้นานถึง 900 วันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวรัสเซียเรียกสงครามครั้งนั้นว่า มหาสงครามของผู้รักชาติ (The Great Patriotic War) กระนั้นสตาลินก็มีบทบาทในการพิชิตนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1941-1945) นี้ไว้ได้
ปี ค.ศ. 1955 นีกีตา ครุชชอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำโดยมีแนวคิดในการบริหารประเทศที่เน้นการอยู่ร่วมกัน มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนผ่อนคลายความเข้มงวดให้น้อยกว่าสมัยสตาลิน รวมถึงเปิดเครมลินเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนได้เข้าชมอีกด้วย ปี 1964 ครุชชอฟลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแทน เบรจเนฟแผ่อิทธิพลไปถึงจีน คิวบา และอัฟกานิสถาน เพิ่มความเครียดไปทั่วโลก เขาจึงนำนโยบายต่างประเทศที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ การผ่อนคลายความตึงเครียด มาใช้โดยปี1980 มอสโกได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 22
ปี ค.ศ. 1985 มิฮาอิล กอร์บาชอฟขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมิวนิสต์ เขาเป็นผู้นำการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เรียกว่า เปเรสตรอยกา(Perestroyka) โดยนำพาประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยม มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาฝีมือแรงงานรวมถึงเสนอนโยบายเปิดกว้างกลาสนอสต์ (Glasnost) คือให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชน มีการติดต่อด้านการค้ากับตะวันตก รวมถึงถอนกำลังออกจากยุโรปตะวันออกและอัฟกานิสถานและยังได้เข้าร่วมกับองค์การนาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ในปี ค.ศ. 1990 กอร์บาชอฟได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รวมถึงได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์เป็นบุรุษแห่งทศวรรษ (Man of the Decade) กระนั้นปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความล้าหลังทางการผลิตที่สั่งสมมานานก็ทำให้นโยบายเปเรสตรอยกาล้มเหลว ความนิยมในกอร์บาชอฟเริ่มตกลง ต่อมาเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม 1991 โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดเสรี แต่บอริส เยลต์ซิน ก็สามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ กอร์บาชอฟจึงสิ้นคะแนนนิยมอย่างแท้จริง เขาประกาศลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงประกาศยกเลิกพรรคคอมมิวนิสต์ต่อหน้ามหาชน พร้อมด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของเยลต์ชิน สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย สาธารณรัฐต่างๆ ทั้ง 15 สาธารณรัฐแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งสาธารณรัฐรัสเซีย (Russian SFSR) ภายใต้ชื่อใหม่ว่า สหพันธรัฐรัสเซีย
สหพันธรัฐรัสเซีย

บอริส เยลต์ซินได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซียเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์รัสเซีย ระหว่างและหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้มีการปฏิรูปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนการเปิดเสรีตลาดและการค้า[27] และยังมีการเปลี่ยนแปลงลึกซึ้งตามแนวทาง "ชอคบำบัด" (shock therapy) ดังที่สหรัฐอเมริกาและกองทุนการเงินระหว่างประเทศแนะนำ[28] ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรัสเซียมีจีดีพีและปริมาณการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงถึง 50% ระหว่าง พ.ศ. 2533-2538[29]
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ได้โอนการควบคุมวิสาหกิจจากหน่วยงานของรัฐไปเป็นของปัจเจกบุคคลซึ่งมีความเชื่อมโยงภายในในระบบรัฐบาล นักธุรกิจที่ร่ำรวยขึ้นมาใหม่หลายคนได้นำเงินสดและสินทรัพย์นับพัน ๆ ล้านออกนอกประเทศในการโยกย้ายทุนขนานใหญ่[30] ภาวะตกต่ำของรัฐและเศรษฐกิจนำไปสู่การล่มสลายของบริการสังคม อัตราการเกิดตกฮวบ ขณะที่อัตราการตายพุ่งทะยาน ประชาชนหลายล้านคนอยู่ในภาวะยาจน จากระดับความยากจน 1.5% ในปลายยุคโซเวียต เป็น 39-49% ราวกลาง พ.ศ. 2536[31] คริสต์ทศวรรษ 1990 ได้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงและความไม่มีกฎหมายสุดขีด การเพิ่มขึ้นของแก๊งอาชญากรและอาชญากรรมรุนแรง[32]
คริสต์ทศวรรษ 1990 รัสเซียได้เผชิญกับความขัดแย้งด้วยอาวุธในคอเคซัสเหนือ ทั้งการสู้รบประรายด้านชาติพันธุ์ท้องถิ่นและการก่อการกบฏของกลุ่มอิสลามแบ่งแยกดินแดน นับตั้งแต่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชเชนได้ประกาศเอราชในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ก็ได้เกิดสงครามกองโจรขึ้นเป็นระยะ ๆ ระหว่างกลุ่มกบฏกับกองทัพรัสเซีย กลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้โจมตีก่อการร้ายต่อพลเรือน ที่มีชื่อเสีงที่สุด คือ วิกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครมอสโก และการล้อมโรงเรียนเบสลัน ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยศพและเรียกความสนใจจากทั่วโลก
รัสเซียยอมรับความรับผิดชอบในการจัดการหนี้สินภายนอกของสหภาพโซเวียต แม้ประชากรรัสเซียจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของประชากรสหภาพโซเวียตเมื่อสหภาพล่มสลายไปนั้น[33] การขาดดุลงบประมาณอย่างสูงเป็นเหตุของวิกฤตการณ์การเงินรัสเซีย พ.ศ. 2541[34] และยิ่งทำให้จีดีพีลดลงไปอีก[27]
วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ประธานาธิบดีเยลต์ซินลาออก ส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ วลาดีมีร์ ปูติน ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2543 ปูตินปราบปรามการก่อกบฏเชเชน แม้ความรุนแรงเป็นพัก ๆ ยังเกิดขึ้นทั่วคอเคซัสเหนือ ราคาน้ำมันที่สูงและเงินตราที่เดิมอ่อนค่าเกิดขึ้นหลังอุปสงค์ภายในที่เพิ่มขึ้น การบริโภคและการลงทุนได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจโตขึ้นเก้าปีติดต่อกัน ซึ่งได้พัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มอิทธิพลของรัสเซียในเวทีโลก[35] แม้การปฏิรูปหลายอย่างที่ปูตินดำเนินการระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโดยทั่วไปมักถูกชาติตะวันตกวิจารณ์ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย[36] แต่ความเป็นผู้นำของปูตินเหนือการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย เสถียรภาพและความก้าวหน้าได้ทำให้เขาเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในรัสเซีย[37]
วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 ดมิทรี เมดเวเดฟได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซีย ขณะที่ปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ปูตินกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2555 และเมดเวเดฟได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ในห้วงวิกฤตการณ์ไครเมีย พ.ศ. 2557 รัสเซียได้ผนวกสาธารณรัฐไครเมีย ซึ่งเกิดจากการรวมกันของสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียและนครเซวัสโตปอลตามการลงประชามติ

การเมืองการปกครอง

หลังจากวิกฤติทางการเมืองในปี 1993 รัสเซียมีการออกรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งได้รับการยอมรับโดยประชามติในวันที่ 12 ธันวาคม 1993 และเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ รัสเซียเป็นสหพันธรัฐซึ่งมีประธานาธิบดีเป็นประมุข[38] และ นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล โดยรัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจบริหาร[39] ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือนายวลาดีมีร์ ปูติน


ประเทศรัสเซียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น
46 มณฑล (Provinces - oblasti)
21 สาธารณรัฐ (Republics - respubliki )
9 ดินแดน (Territories - kraya )
4 เขตปกครองตนเอง (Autonomous districts - avtonomnyye okruga)
1 มณฑลปกครองตนเอง (Autonomous oblast - avtonomnaya oblast )
2 นครสหพันธ์ (Federal cities - federalnyye goroda ) คือ มอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
 กองทัพสหพันธรัฐรัสเซีย

กองทัพรัสเซียแบ่งออกเป็นกองกำลังทางบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ นอกจากนี้ยังมีสาขาช่วยรบ (arm of service) อิสระอีกสามสาขา ได้แก่ กองกำลังขีปนาวุธยุทธศษสตร์ กองกำลังป้องกันห้วงอากาศ-อวกาศ และหน่วยส่งทางอากาศ ในปี 2549 กองทัพรัสเซียมีกำลังพลประจำการ 1.037 ล้านนาย[40] ซึ่งบังคับเกณฑ์ให้พลเมืองชายอายุระหว่าง 18–27 ปีทุกคนรับราชการในกองทัพเป็นเวลาหนึ่งปี[35]
ประเทศรัสเซียมีคลังอาวุธนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก และมีกองเรือดำน้ำขีปนาวุธใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสอง และเป็นประเทศเดียวนอกจากสหรัฐอเมริกาที่มีกองกำลังเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์สมัยใหม่[22][41] กองกำลังรถถังของรัสเซียใหญ่ที่สุดในโลก และกองทัพเรือผิวน้ำและกองทัพอากาศใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ประเทศรัสเซียมีอุตสาหกรรมอาวุธขนาดใหญ่และผลิตในประเทศทั้งหมด โดยผลิตยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่เองโดยมีการนำเข้าอาวุธไม่กี่ชนิด ประเทศรัสเซียเป็นผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกมาตั้งแต่ปี 2544 โดยมีการขายอาวุธคิดเป็นราว 30% ของทั่วโลก[42] และมีการส่งออกไปประมาณ 80 ประเทศ[43]
รายจ่ายทางทหารภาครัฐอย่างเป็นทางการในปี 2555 อยู่ที่ 90,700 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ มากเป็นอันดับสามของโลก แม้แหล่งข้อมูลต่าง ๆ จะประเมินว่ารายจ่ายทางทหารของรัสเซียสูงกว่านี้มาก[44] ปัจจุบัน การพัฒนายุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่มูลค่าราว 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐอยู่ระหว่างดำเนินการในช่วงปี 2549 ถึง 2558[45]

รัสเซียเป็นแหล่งน้ำมันปิโตรเลียมและแก๊สธรรมชาติที่สำคัญของยุโรป[58]
รัสเซียมีแหล่งทรัพยากรแก๊สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก[59] มีแหล่งทรัพยากรถ่านหินใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และมีแหล่งทรัพยากรน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับแปดของโลก[60] รัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกแก๊สธรรมชาติมากเป็นอันดับหนึ่ง[61] และส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลก[59] น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ โลหะ และไม้ เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญและมีมูลค่ามากถึงร้อยละ 80 ของการส่งออกทั้งหมด[26][62]แต่หลังปี 2003 การส่งออกทรัพยากรธรรมชาติก็เริ่มลดความสำคัญลงเพราะตลาดภายในประเทศขยายตัวขึ้นอย่างมาก แม้ว่าราคาทรัพยากรด้านพลังงานจะสูงขึ้นมาก แต่น้ำมันและแก๊สธรรมชาติก็มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.7 ของจีดีพี และรัฐบาลคาดการณ์ว่าสัดส่วนนี้จะลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ภายในปี 2011[63] รัสเซียยังนับว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรอื่น ๆ[51] รัสเซียมีจำนวนประชากรที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษามากกว่าประเทศอื่นในทวีปยุโรป[64]
ประเทศรัสเซียมีสายการบินประจำชาติคือแอโรฟลอต(รัสเซีย: Аэрофло́т, อังกฤษ: Aeroflot) มีฐานบินหลักอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโว กรุงมอสโคว


ตั้งแต่ปี ค.ศ.2007 รัฐบาลรัสเซียได้ขยายการศึกษาภาคบังคับจากเดิม 9 ปีเป็น 11 ปี กล่าวคือตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาไปถึงระดับอาชีวศึกษา โรงเรียนในรัสเซียจะแบ่งภาคเรียนออกเป็น 4 ภาคเรียน ซึ่งในแต่ละภาคเรียนจะมีวันหยุด 1-2 สัปดาห์

เมืองใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซีย
Rosstat (2009)[65][66]
ที่ เมือง เขตการปกครอง ประชากร ที่ เมือง เขตการปกครอง ประชากร
มอสโก
มอสโก
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
1 มอสโก มอสโก 11,514,300 11 อูฟา สาธารณรัฐบัชคอร์โตสถาน 1,094,842 โนโวซีบีสค์
โนโวซีบีสค์
เยคาเตรินบุร์ก
เยคาเตรินบุร์ก
2 เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 5,227,567 12 วอลโกกราด วอลโกกราดโอบลาสต์ 1,091,200
3 โนโวซีบีสค์ โนโวซีบีสค์โอบลาสต์ 1,473,737 13 เปียร์ม เปียร์มไคร 1,090,679
4 เยคาเตรินบุร์ก สเวียร์ดลอฟสค์โอบลาสต์ 1,350,136 14 ครัสโนยาสค์ ครัสโนยาสค์ไคร 1,000,601
5 นิจนีนอฟโกรอด นิจนีนอฟโกรอดโอบลาสต์ 1,250,252 15 โวโรเนช โวโรเนชโอบลาสต์ 1,000,496
6 ซามารา ซามาราโอบลาสต์ 1,164,900 16 ซาราตอฟ ซาราตอฟโอบลาสต์ 900,953
7 คาซาน สาธารณรัฐตาตาร์สถาน 1,143,600 17 ตอลยาตติ ซามาราโอบลาสต์ 720,346
8 ออมสค์ ออมสค์โอบลาสต์ 1,153,971 18 ครัสโนดาร์ ครัสโนดาร์ไคร 710,686
9 เชเลียบินสค์ เชเลียบินสค์โอบลาสต์ 1,130,273 19 อีเจฟสค์ สาธารณรัฐอุดมูร์ต 611,043
10 รอสตอฟ-นา-โดนู รอสตอฟโอบลาสต์ 1,098,991 20 ยารอสลัฟล์ ยารอสลัฟล์โอบลาสต์ 606,336


สัดส่วนของเชื้อชาติ (ค.ศ. 2002)[67]
ชาวรัสเซีย 79.8%
ทาทาร์ 3.8%
ชาวยูเครน 2.0%
ชูวัช 1.1%
เชเชน 0.9%
ชาวอาร์มีเนีย 0.8%
อื่น ๆ/ไม่ระบุ 10.3%

จำนวนประชากรระหว่าง ค.ศ. 1991-2009 (ล้านคน)

จากการประมาณวันที่ 10 พฤศจิกายน 2013 ประเทศรัสเซียมีประชากร 141,773,000 คน จำนวนประชากรของรัสเซียมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 ซึ่งเป็นผลจากอัตราการตายที่สูงและอัตราการเกิดที่ต่ำ ในขณะที่อัตราการเกิดในรัสเซียมีพอ ๆ กับประเทศยุโรปอื่น ๆ (อัตราการเกิด 11.3 คนต่อประชากร 1000 คนในปี 2007[69] เทียบกับอัตราเฉลี่ย 10.25 คนต่อประชากร 1000 คนของสหภาพยุโรป[70]) แต่ประชากรกลับลดลงเพราะอัตราการตายสูงกว่า (ในปี 2007 อัตราการตายของรัสเซียคือ 14.7 คนต่อประชากร 1000 คน[69] เมื่อเที่ยบกับอัตราเฉลี่ยของสหภาพยุโรป 10.39 คนต่อ 1000 คน[71]) ปัญหาประชากรที่ลดลงนี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ[72] รัฐบาลจึงตั้งมาตรการต่าง ๆ ในการลดอัตราการตาย เพิ่มอัตราการเกิด พัฒนาสุขภาพของประชาชน[73] กระทรวงสาธารณสุขของรัสเซียคาดการณ์ว่าอัตราการตายและอัตราการเกิดจะปรับตัวจนเท่ากันภายในปี 2011[73]
รัสเซียมีพื้นที่มากที่สุดในโลก แต่เมื่อเทียบกับประชากรแล้ว ความหนาแน่นเพียงแค่ 40 เปอร์เซนต์เท่านั้น













♬.♭.❀●•♪.Don't Let Me Be The Last To Know + lyrics ☆ (แปลเพลง)

My friends say you're so into me
เพื่อนฉันบอกว่า เธอคลั่งไคร้ฉันมาก
And that you need me desperately
และก็ขาดฉันไม่ได้ด้วย
They say you say we're so complete 
พวกเขาบอกว่า ได้ยินเธอพูดว่าเรานั้นเหมาะสมกันเหลือเกิน
But I need to hear it straight from you
แต่ฉันอยากจะได้ยินจากปากของเธอเอง
If you want me to believe it's true
ถ้าเธออยากให้ฉันเชื่อว่าที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง
I've been waiting for so long it hurts
ฉันรอมานานแล้วนะ มันเจ็บปวดนะ
I wanna hear you say the words, please
ฉันอยากจะได้ยินจากปากของเธอ, ได้โปรดเถอะนะ

Don't, don't let me be the last to know
โปรดอย่า, อย่าบอกฉันเป็นคนสุดท้ายล่ะ
Don't hold back, just let it go
อย่ารีรอเลย,บอกมาเถอะ
I need to hear you say
ฉันอยากได้ยินจากปากของเธอเอง
You need me all the way
ว่าเธอขาดฉันไม่ได้
Oh, if you love me so
หากเธอรักฉันจริงเหมือนที่บอก
Don't let me be the last to know
อย่าบอกให้ฉันรู้เป็นคนสุดท้ายนะ

Your body language says so much
ท่าทางเธอก็บอกว่ารักฉันมากนะ
Yeah, I feel it in the way you touch
เย้.., ฉันรู้สึกได้จากการที่เธอสัมผัสตัวฉัน
But til' you say the words it's not enough
แต่ฉันจะเชื่อก็ต่อเมื่อพูดมันออกมา
C'mon and tell me you're in love, please
มาซิ และบอกเถอะว่าเธอรักฉัน,ได้โปรด

Don't, don't let me be the last to know
Don't hold back, just let it go
I need to hear you say
You need me all the way
Oh, if you love me so
Don't let me be the last to know

C'mon baby, c'mon darling, ooh yeah
บอกฉันเถอะ,ที่รัก
C'mon, let me be the one
บอกให้ฉันเป็นคนเดียวที่รู้เถอะ
C'mon now, oh yeah
จะรีรออะไรอีกล่ะ

I need to hear you say
ฉันอยากได้ยินจากปากของเธอว่า
You love me all the way
เธอรักฉันเพียงคนเดียว
And I don't wanna wait another day
ฉันไม่อยากรออีกต่อไป (อีกวันหนึ่งก็รอไม่ได้)
I wanna feel the way you feel
ฉันอยากรู้สึกเหมือนกับเธอที่รู้สึก
Oh, c'mon
โอ..,บอกเถอะนะ

Don't, just let me be the one
Don't hold back, just let it go
I need to hear you say
You need me all the way
So…baby, if you love me
Don't let me be the last to know




into me = สำนวน, into someone หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หมายถึงคลั่งไคล้หรือชอบสิ่งนั้น ๆ มาก
desperately = อย่างมาก จากคำ desperate = สิ้นหวังมาก (ไม่มีที่ต้องการ หรือสิ่งที่ต้องการ ไม่ได้)
straight = โดยตรง เหมือนคำว่า go straight ahead เดินตรงไป,drink milk straight from the bottle ดื่มนมตรงจากขวด
hold back = สำนวน รอ,ประวิงเวลาไว้...body language = ภาษาท่าทาง ใช้กันมากไม่เพียงแต่เรื่องรัก ๆ
another = สำนวนว่า another + คนใดหรือสิ่งใด หมายถึง อีกคนหนึ่ง อีกอันหนึ่ง ในเพลงจึงหมายถึง อีกวันหนึ่งก็รอไม่ได้

♬.♭.❀●•♪.。Where Is Your Heart - Kelly Clarkson + lyrics☆

I don't believe
In the smile that you leave
When you walk away and say goodbye
Well I don't expect
The world to move underneath me but for God's sake could you try
I know that you're true to me
You're always there, you say you care
I know that you wanna be mine

Where is your heart
Cause I don't really feel you
Where is your heart
What I really want is to believe you
Is it so hard to give me what I need
I want your heart to bleed
And that's all I'm asking for
Where is your heart?

I don't understand
Your love is so cold
It's always me who's reaching out for your hand
I've always dreamed
That love would be effortless
Like a petal falling to the ground
A dreamer following his dream

Where is your heart
Cause I don't really feel you
Where is your heart
What I really want is to believe you
Is it so hard to give me what I need
I want your heart to bleed
And that's all I'm asking for
Where is your heart?

It seems so much is left unsaid (so much is left unsaid)
But you can say anything
Oh, anytime you need
Baby, it's just you and me, oh yeah

I know that you're true to me
You're always there, you say you care
I know that you wanna be mine
Where is your heart
Cause I don't really feel you
Where is your heart
What I really want is to believe you
Is it so hard to give me what I need
I want your heart to bleed
And that's all I'm asking for
Yeah..

Where is your heart
Cause I don't really feel you
Where is your heart
What I really want is to believe you
Is it so hard to give me what I need
I want your heart to bleed
And that's all I'm asking for

Where is your heart?
Where is your heart?
Where is your heart?
Where is your heart?

♬.♭.❀●•♪.。I Hate Myself For Losing You=Kelly Clarkson= / Lyrics

I woke up today
Woke up wide awake
In an empty bed
Staring at an empty room
I have myself to blame
For the state I'm in today
And now, dyin' doesn't seem so cruel

And oh, I don't know what to say
And I don't know anyway, anymore

I hate myself for losing you
I'm seeing it all so clear
I hate myself for losing you
What do you do when you look in the mirror
And staring at you is why he's not here

You got what you deserved
Hope your happy now
Cause every time I think of her with you
It's killing me inside
And now I dread each day
Knowing that I can't be saved
From the loneliness of living without you

And oh, I don't know what to do
Not sure that I'll pull through
I wish you knew

I hate myself for losing you
I'm seeing it all so clear
I hate myself for losing you
What do you do when you look in the mirror
And staring at you is why he's not here

I hate myself for losing you

And oh, I don't know what to do
Not sure that I'll pull through
I wish you knew
I wish you knew
And oh, I don't know what to say
And I don't know anyway, anymore

I hate myself for losing you
I'm seeing it all so, I'm seeing it all so clear
I hate myself for losing you
What do you do when you look in the mirror
And staring at you is why he's not here

What do you say when everything you said
Is the reason why he left you in the end
How do you cry when every tear you shed
Won't ever bring him back again
I hate myself for loving you

♬.♭.❀●•♪.。Because of you + lyrics ☆

I will not make the same mistakes that you did
I will not let myself cause my heart so much misery
I will not break the way you did you're fell so hard
I've learned the hard way, to never let it get that far
Because of you
I'll never stray too far from the sidewalk
Because of you
I learned to play on the safe side
So I don't get hurt
Because of you
I find it hard to trust
Not only me, but everyone around me
Because of you
I am afraid

I lose my way
And it's not too long before you point it out
I cannot cry
Because I know that's weakness in your eyes
I'm forced to fake, a smile, a laugh
Every day of my life
My heart can't possibly break
When it wasn't even whole to start with

Because of you
I'll never stray too far from the sidewalk
Because of you
I learned to play on the safe side
So I don't get hurt
Because of you
I find it hard to trust
Not only me, but everyone around me
Because of you
I am afraid

I watched you die
I heard you cry
Every night in your sleep
I was so young
You should have known better than to lean on me
You never thought of anyone else
You just saw your pain
And now I cry
In the middle of the night
For the same damn thing

Because of you
I'll never stray too far from the sidewalk
Because of you
I learned to play on the safe side
So I don't get hurt
Because of you
I tried my hardest just to forget everything
Because of you
I don't know how to let anyone else in
Because of you
I'm ashamed of my life because it's empty
Because of you
I am afraid

Because of you
Because of you

☪ ข้อเท็จจริงที่ชาวโลกน้อยคนจะรู้...เกี่ยวกับศาสนายิวและอิสลาม☪

บอกตรงๆว่ารู้สึกเกลียดมากเวลาได้ยินคนพูดถึงอิสลามในแง่ลบต่างๆ.. ถึงแม้ฉันเองจะเป็นชาวพุทธแต่ก็ไม่เคยรู้สึกยินดีปรีดาที่เห็นชาวพุทธตั้งแง่กับพี่น้องมุสลิม พวกคุณไปดูถูกศาสนาเขาแล้วเคยมองดูศาสนาของตัวเองบ้างรึเปล่า ฉันไม่ได้ว่าศาสนาพุทธไม่ดีนะ ทุกศาสนาเป็นสิ่งที่ดีในตัวเองอยู่แล้ว แต่เหล่าผู้ศรัทธาต่างหากที่ทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย อย่างเราชาวพุทธก็ใช่ว่าจะดีเลิศกว่าอิสลามหรือศาสนาอื่นเลย แต่พวกเราไม่ค่อยมองเห็นความผิดของตัวเองหรอก ทีความผิดของคนอื่นเนี่ย ไวนักเชียว ใครทำผิดก็ควรจะด่า หรือประณามเป็นรายตัวไป อย่าไปเหมารวมว่า อ๋อ..นี่ไง..พวกอิสลาม บลา บลา บลา.. ลองคิดบ้างนะว่าถ้าหากว่ามีคนไทยพุทธคนนึงซึ่งไม่ได้เป็นญาติติโกโหติกาอะไรกับคุณ แต่เขาไปพลาดทำผิดกฎหมานที่ต่างประเทศ หลังจากนั้น.. คนประเทศนั้นทั้งประเทศก็ตราหน้าแบบเหมารวมคนไทยทั้งประเทศ ยกตัวอย่างเช่น คดีเพชรซาอุ คนขโมยแค่คนเดียว แต่ผลเสียกระทบถึงคนไทยทั้งประเทศ มันแย่มากนะ ถึงจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตามแต่ชาวอาหรับก็ยังคงมองคนไทยว่า เป็นชาติที่ขี้ขโมย แถมต้องสูญเสียโอกาสดีๆไปอีกเยอะแยะมากมาย .... เพราะฉะนั้น... ก่อนจะด่า ว่า ตำหนิ เสียดสี ดูถูก เหยียดหยัน ใครช่วยลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดูบ้างก็ดีนะ
___________________________________________
"กลับมาปัญหายิว-อิสลาม"
ถาม  : "-ทำไมเราถึงเห็นแต่ข่าวแย่ๆของพวกมุสลิมทางสื่อโทรทัศน์ได้ไม่เว้นแต่ละวัน?"
ตอบ : ก็เพราะยิวคุมสื่อสารมวลชนของโลกไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดการประชาสัมพันธ์2 ด้านพร้อมๆกันของสื่อมวลชนโลกจึง 1. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ทางซีกของชาวยิวหรือกลุ่มคนผู้ถือหางยิวและ 2. โยนภาพลักษณ์ร้ายๆให้ผู้คนทางซีกของโลกอิสลาม

คุณลองนึกถึงคนยิวบนเวทีโลกนะ ภาพลักษณ์แต่ละคนดีๆทั้งนั้น ไม่ว่า  เฮนรี่ อัลเฟรด คิสซิงเจอร์ ยิวที่เกิดในเยอรมนีอพยพมาอยู่ในสหรัฐฯเมื่อพ.ศ.2481    แมดาลีน อัลไบรท์ ยิวที่เกิดในกรุงปรากประเทศเชคโกสโลวาเกีย ภายหลังอพยพมาอยู่ในอังกฤษและสหรัฐฯ

อลัน กรีนสแปน ผู้ว่าการธนาคารกลางของสหรัฐฯซึ่งครองตำแหน่งสำคัญทางการเงิน การธนาคารของสหรัฐฯตั้งแต่สมัยที่นาย เรแกน เป็นประธานาธิบดีและครองติดต่อกันยาวนานมาเรื่อยจนกระทั่งถึง ยุค บุช ผู้พ่อ ตามด้วยยุคของ คลินตัน อีก 8 ปีถึงแม้ว่า บุชผู้ลูก เป็นประธานาธิบดีก็ยังใช้ กรีนสแปน เป็นผู้ว่าการธนาคารกลางของสหรัฐฯเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ

ห้วงช่วง 4-5 ปีมานี้คุณคงจะสังเกตนะว่าชื่อของ พอล ครุกแมน เด่นมากในด้านเศรษฐศาสตร์สื่อสารมวลชนต่างๆ ต่างให้สมญา ครุกแมน ว่าเป็น นอสตราดามุส แห่งโลกเศรษฐศาสตร์ท่านผู้นี้ก็เป็นยิวของแท้100% ที่เกิดในนิวยอร์กเมื่อ พ.ศ.2496

ลองดูรายชื่อยิวรายอื่นๆนะ "สตีเวน สปีลเบิร์ก", "ดัสติน ฮอฟแมน", "พอล นิวแมน", "เคิร์ก ดักลาส", "แฮร์ริสัน ฟอร์ด", "บรูซ วิลลิส", "ริชาร์ด เกียร์" ฯลฯ

"สตีเวน สปีลเบิร์ก"เกิดในโรงพยาบาลยิวมาจากครอบครัวยิวที่เคร่งครัดมากคนหนึ่ง คุณลองสังเกตดารานักแสดงในหนังของสปีลเบิร์กส่วนใหญ่จะใช้ดารายิวแทบทั้งนั้นหรือแม้แต่การเลือกสร้างภาพยนตร์ ก็จะสร้างภาพยนตร์ที่ให้คนทั้งโลกเห็นใจยิวอย่างภาพยนตร์เรื่อง "Schindler's list" ที่ได้รับรางวัลเยอะแยะเป็นหนังที่ใครดูแล้วยากที่จะไม่หลั่งนํ้าตาให้ยิวที่ถูกพวกนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามโลกครั้งที่2

    จากหนังสือ“เพาเวอร์ยิว”ทราบว่าเดิมเจ้าของและผู้ก่อตั้งบริษัท "เดอะวอลท์ ดิสนีย์"  Walt Disney Company คือ"นายวอลท์ ดิสนีย์"ท่านผู้นี้ไม่ใช่ชาวยิวแถมยังเป็นอเมริกันที่เกลียดยิวอย่างเข้ากระดูกดำซะอีก หนังในสมัยที่ วอลท์ดิสนีย์บริหาร มีแต่การ์ตูนดีๆที่สร้างจินตนาการให้เยาวชนอย่างสโนไวท์กับเจ้าหนูมิกกี้

พ.ศ.2527 นายไมเคิล ไอสเนอร์ชาวยิว ซื้อกิจการวอลท์ดิสนีย์ ยิวคนนี้ก็ขยายกิจการของบริษัทไปสู่ความบันเทิงเริงรมย์และเรื่องของความรุนแรงจากนั้นก็ขยายเครือข่ายต่อไปยังธุรกิจอีกกหลายอย่างเป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ดังๆทั้ง Touchstone Television และ Buena Television แถมยังเป็นเจ้าของเคเบิลทีวีที่มีสมาชิกอีก 14 ล้านรวมถึงผลิตวีดิโออีก 2 แห่งจนถึง พ.ศ.2535 นายไมเคิลไอสเนอร์ ก็เข้าไปซื้อABC Television Network ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรทัศน์ก็คลุมไปทั้งนิวยอร์กชิคาโก ฟิลาเดลเฟียลอสแอนเจลิส และฮิวส์ตันนอกจากนั้น ยังขยายเครือข่ายโทรทัศน์ไปอีกหลายแห่งทั่วยุโรป

หน้า 124 ของหนังสือเพาเวอร์ยิวเขียนว่า“การซื้อ ABC จึงเท่ากับว่าดิสนีย์กุมเครือข่ายระดับยักษ์เอาไว้ในมือเลยทีเดียวทั้งนี้ ยังไม่นับถึงการเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุอีกหลายคลื่น นอกจากนั้นยังกุมนิตยสารผู้หญิงและนิตยสารรถยนต์ไว้อีกหลายชื่อหัว

ABC เป็นเจ้าของLifetime Television และ Arts & Enter-tainment Network ซึ่งวัยรุ่นรู้จักกันในนามเคเบิลA&E ที่เด็ดยิ่งกว่านั้นคือ ABC เป็นบริษัทแม่ของESPN ที่คอกีฬาทั้งหลายรู้จักกันดีคนที่บริหารช่องกีฬานี้เป็นยิวมีชื่อว่าสตีเฟน บอร์นสไตน์

โทรทัศน์เป็นสื่อที่เข้าถึงทุกครัวเรือนง่ายและราคาถูกดังนั้น การครอบครองESPN ได้ ก็เท่ากับครองใจคนดูกีฬาทั่วโลกและการเป็นเจ้าของA&E ได้ ก็เท่ากับว่าดิสนีย์เป็นเจ้าของรสนิยมความบันเทิงของวัยรุ่นทั่วโลกมิหนำซ้ำ ยังเป็นช่องทางในการโปรโมตหนังของดิสนีย์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย...”

“...เรียกได้เต็มปากว่าดิสนีย์มีเจ้าของเป็นยิวและคนที่บุกเบิกความยิ่งใหญ่ในวงการหนังให้กับดิสนีย์ก็เป็นยิวทั้งนี้บริษัทในเครือภายใต้กลุ่มทำหนังของดิสนีย์ก็อย่างเช่น Touchstone Pictures, Holly-wood Pictures, Caravan Pictures และMiramax Films...”

ที่มา:https://sites.google.com/site/jewsheaven/home/yiw-chlad-thisud-ni-lok
#ยิว #อิสลาม #มุสลิม #สงคราม #ศาสนา #ประวัติศาสตร์ #jew #islam #muslim #war #religion #in_fact 

♬.♭.❀●•♪. wish you were here - Avril Lavigne ☆ แปลเพลง

I can be tough
I can be strong
But with you
It's not like that at all
There's a girl
That gives a shit
Behind this wall
You just walked through it

ฉันดูเป็นคนที่เข้มแข็ง
ฉันดูเป็นคนที่แกร่ง
แต่กับเธอ
มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย
มีผู้หญิงคนหนึ่ง
ที่ใส่ใจทุกเรื่อง
ด้านหลังกำแพงนี้
เธอเพียงแค่เดินผ่านมันไป

And I remember all those crazy things you said
You left them running through my head
You're always there, you're everywhere
But right now I wish you were here.
All those crazy things we did
Didn't think about it, just went with it
You're always there, you're everywhere
But right now I wish you were here

และฉันยังจำได้ทุกเรื่องราวบ้าๆ ที่เธอเคยพูด
มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวฉันอยู่เลย
เธอยังคงอยู่ในใจฉันเสมอ เธอตามฉันไปทุกที่
แต่ตอนนี้ฉันปรารถนาให้เธอมาอยู่ที่นี่
เรื่องราวบ้าๆทุกอย่างที่เราเคยทำ
ไม่ต้องคิดกับมันมาก แค่ลุยกับมันอย่างเดียวเลย
เธอยังคงอยู่ในใจฉันเสมอ เธอตามฉันไปทุกที่
แต่ตอนนี้ฉันปรารถนาให้เธอมาอยู่ที่นี่

Damn, Damn, Damn,
What I'd do to have you
Here, here, here
I wish you were here.
Damn, Damn, Damn
What I'd do to have you
Near, near, near
I wish you were here.

บ้าเอ้ย บ้าจริงๆเลย
ฉันจะทำอย่างไรถึงจะได้เธอ
มาอยู่ที่นี่
ฉันปรารถนาให้เธอมาอยู่ที่นี่
บ้าเอ้ย บ้าจริงๆเลย
ฉันจะทำอย่างไรถึงจะได้เธอ
มาอยู่ใกล้ๆฉัน
ฉันอยากให้เธอมาอยู่ที่นี่

I love
The way you are
It's who I am
Don't have to try hard
We always say
Say it like it is
And the truth
Is that I really mi-I-iss

ฉันรัก
ในแบบที่เป็นเธอ
มันคือตัวตนของฉัน
ไม่จำเป็นต้องพยายามอย่างมาก
เรามักจะพูดเสมอว่า
พูดว่าชอบที่มันเป็นอย่างนั้น
และความจริงคือ
คือฉันพลาดไปจริงๆ

All those crazy things you said (things you said)
You left them running through my head (through my head)
You're always there, you're everywhere
But right now I wish you were here.
All those crazy things we did (things we did)
Didn't think about it, just went with it (went with it)
You're always there, you're everywhere
But right now I wish you were here

ทุกเรื่องราวบ้าๆ ที่เธอเคยพูด
มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวฉันอยู่เลย
เธอยังคงอยู่ในใจฉันเสมอ เธอตามฉันไปทุกที่
แต่ตอนนี้ฉันปรารถนาให้เธอมาอยู่ที่นี่
เรื่องราวบ้าๆทุกอย่างที่เราเคยทำ
ไม่ต้องคิดกับมันมาก แค่ลุยกับมันอย่างเดียวเลย
เธอยังคงอยู่ในใจฉันเสมอ เธอตามฉันไปทุกที่
แต่ตอนนี้ฉันปรารถนาให้เธอมาอยู่ที่นี่

Damn, Damn, Damn,
What I'd do to have you
Here, here, here
I wish you were here.
Damn, Damn, Damn
What I'd do to have you
Near, near, near
I wish you were here.

บ้าเอ้ย บ้าจริงๆเลย
ฉันจะทำอย่างไรถึงจะได้เธอ
มาอยู่ที่นี่
ฉันปรารถนาให้เธอมาอยู่ที่นี่
บ้าเอ้ย บ้าจริงๆเลย
ฉันจะทำอย่างไรถึงจะได้เธอ
มาอยู่ใกล้ๆฉัน
ฉันอยากให้เธอมาอยู่ที่นี่

No, I don't wanna let go
I just wanna let you know
That I never wanna let go

ไม่เลย ฉันไม่อยากปล่อยมันผ่านไป
ฉันแค่อยากให้เธอได้รับรู้
ว่าฉันไม่มีวันที่จะปล่อยให้มันผ่านไปเด็ดขาด

(Let go, oh, oh)

ปล่อยให้ไป

No, I don't wanna let go
I just wanna let you know
That I never wanna let go

ไม่เลย ฉันไม่อยากปล่อยมันผ่านไป
ฉันแค่อยากให้เธอได้รับรู้
ว่าฉันไม่มีวันที่จะปล่อยให้มันผ่านไปเด็ดขาด

(Let go let go let go let go let go let go let go)

ปล่อยให้ไป

Damn, Damn, Damn,
What I'd do to have you
Here, here, here
I wish you were here (I wish you were here)
Damn, Damn, Damn
What I'd do to have you
Near, near, near
I wish you were here.

บ้าเอ้ย บ้าจริงๆเลย
ฉันจะทำอย่างไรถึงจะได้เธอ
มาอยู่ที่นี่
ฉันปรารถนาให้เธอมาอยู่ที่นี่
บ้าเอ้ย บ้าจริงๆเลย
ฉันจะทำอย่างไรถึงจะได้เธอ
มาอยู่ใกล้ๆฉัน
ฉันอยากให้เธอมาอยู่ที่นี่

Damn, Damn, Damn (Damn)
What I'd do to have you
Here, here, here (Here)
I wish you were here.
Damn, Damn, Damn
What I'd do to have you
Near, near, near
I wish you were here.

บ้าเอ้ย บ้าจริงๆเลย
ฉันจะทำอย่างไรถึงจะได้เธอ
มาอยู่ที่นี่
ฉันปรารถนาให้เธอมาอยู่ที่นี่
บ้าเอ้ย บ้าจริงๆเลย
ฉันจะทำอย่างไรถึงจะได้เธอ
มาอยู่ใกล้ๆฉัน
ฉันอยากให้เธอมาอยู่ที่นี่