Translate

☪ เหตุผลที่ทุกๆคนถามกันเข้ามาว่า...."ทำไมฉันจึงเปลี่ยนศาสนาจากพุทธไปเข้ารับนับถืออิสลาม" ☪

แน่นอนว่าเหตุผลหลักอันดับต้นๆของเหล่าผู้คนที่ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนศาสนาได้นั้น จะต้องมีความรักที่มากมายและหัวใจที่ศรัทธาอย่างแรงกล้ามากๆเท่านั้น ถึงจะมีแรงผลักดันพวกเขาให้หาญกล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมๆของตนเองได้อย่างสิ้นเชิง
            สำหรับฉันแล้วเหตุผลมันมีมากมายหลายเหตุเหลือเกินที่สะสมมาตลอดทั้งชีวืตตั้งแต่วัยเด็กจนมาถึงวันนี้ วันที่ตัดสินใจละว่า..ถึงเวลาแล้วที่ฉันควรจะลงมือทำอย่างจริงจังซะที...
ต้องขอท้าวความกันก่อนสักนิด เกี่ยวกับวิถีชีวิตในอดีตที่ผ่านมาของฉัน ตอนอยู่เมืองไทยฉันเข้าวัดทำบุญทำสังฆทานสม่ำเสมออยู่ทุกเดือนไม่มีขาด โดยเฉพาะทำบุญโลงศพที่วัดหัวลำโพงไปเกือบจะทุกอาทิตย์ก็ว่าได้ แต่พอฉันได้แต่งงานกับสามีคนฮ่องกง และต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเริ่มต้นชีวิตครอบครัวกับเขาที่นี่(ฮ่องกง) สำหรับผู้หญิงที่เกิดและเติบโตมากับวัด ชีวิตไม่เคยห่างพระพุทธศาสนาเลย บ้านเกิดที่เชียงรายก็อยู่หน้าวัดพอดี และเจ้าอาวาสวัดก็เป็นลุงของเราเอง วิ่งเล่นในวัดทุกวันเป็นเรื่องปกติธรรมดามากสำหรับเด็กต่างจังหวัดอย่างฉัน พอวันพระก็จะตามตูดยายไปวัด ซึมซับการศรัทธาและวิธีปฏิบัติมาจากยายล้วนๆ และยายก็ไม่เคยมานั่งสอนหรอกว่าต้องทำแบบนั้นทำแบบนี้  ดูๆจำๆแล้วก็ทำๆตามเอา พอโตขึ้นมาก็เลยได้นิสัยที่แบบเอะอะไม่สบายใจอะไรก็วิ่งเข้าวัดทำบุญทำบุญ โดยเฉพาะเมื่อต้องมาอยู่กรุงเทพฯ เวลาเครียดนิดเครียดหน่อย หันซ้ายหันขวาหาใครไม่เจอ วัดไหนใกล้ที่สุดดิ่งไปวัดนั้นก่อน คิดแล้วก็แปลกดีเหมือนกันจากคนที่หนักแน่นยืนยันเสียงแข็งยังไงก็จะนับถือศาสนาพุทธศาสนาเดียวไปจนตาย แล้วสุดท้ายอะไรกันนะที่มาดลจิตดลใจให้ฉันเปลี่ยนความคิดใช้ชีวิตแบบสุดโต่งได้แบบนี้....
เหตุมันมีอยู่แล้วหล่ะ คือว่าตั้งแต่มาใช้ชีวิตอยู่ฮ่องกงไร้ญาติขาดมิตร เวลาทะเลาะกับอดีตสามีที ก็ไม่มีใคที่พอจะให้ปรึกษาได้เลย อยากจะหันหน้าเข้าวัด วัดไทยในต่างแดนมันก็หายากหาเย็น มีอยู่ครั้งหนึ่งในวันมาฆะฯหรือวันวิสาขะฯจำไม่ได้ ที่ต้องเวียนเทียนอ่ะ ฉันทะเลาะกับอดีตสามีระหองระแหงกันมาได้พักใหญ่แล้ว และฉันก็รู้สึกอัดอั้นไม่สบายใจเก็บกดอำรมากมายสุมไว้ในใจ อยากจะไปวัดได้ทำบุญไหว้พระเผิ่อช่วยให้ผ่อนคลายลงได้ ก็เลยตัดสินใจไปตามล่าหาวัดไทยในย่านที่ใกล้บ้านที่สุดดูซิ ไปถามข้อมูลจากคนไทยคนเก่าคนแก่มาก็ได้ข้อมูลมาคนละนิดคนละหน่อย ก็สุ่มไปคนเดียว ตั้งแต่บ่าย เดินหาอยู่ตั้งหลายชั่วโมง จนมืดเรายังหาวัดบนเขาที่เขาบอกไม่เจอ
ทางขื้นก็เปลี่ยว ต้องผ่านบ้านร้าง ผ่านดงหญ้าคา ไหนจะเสียงหมาเห่าๆหอนๆ ทางเดินก็ซอยแคบๆแถมคดเคี้ยวเลี้ยวเป็นงูเหมือนสถานที่ที่หลอนๆน่ากลัวๆในหนังผีจีนฮ่องกงสมัยก่อนประมาณนั้นเลยแหละ แล้วภาษาจีนกวางตุ้งเราก็ยังไม่เก่ง ถามเขาได้ แต่พอเขาตอบกลับมาก็ฟังไม่เข้าใจอีก สุดท้ายกว่าจะรอดลงเขากลับมาถึงบ้านก็ทุ่มกว่าเกือบ2ทุ่มไปละ สุดท้ายก็ไม่ได้เวียนเทียน กะจะไประบายความเครียดออกกลับกลายเป็นเครียดหนักหนาสาหัสกว่าเก่าอีก 5555+ อุส่าห์โดดงานครึ่งวันบ่ายไปกะว่าคงกลับทำงานทันก่อน6โมงเย็น ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าจะต้องตกงานอีกแน่ๆเลย ยิ่งคิดยิ่งนอยด์ เดินร้องไห้กลับบ้าน พอไปถึง เสือกโดนไอ้อดีตสามีด่าอีก ไปไหนมา ทำไมไม่ทำกับข้าว หิวแล้วฟาดงวงฟาดงา หาเรื่องเราได้ทุกอย่าง ชั่วโมงนั้นคือเราทำอะไรก็คือผิดไปหมด แค่นั่งอยู่เฉยๆแต่มดเสือกเดินผ่านอ้าว..ก็ยังเป็นเราผิดอยู่ดี   ก็แค่ไม่ได้ทำกับข้าวไว้ให้แค่วันเดียว ก็เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา คือมาม่าก็มีก็กินๆไปก่อนก็ได้ แม่งก็ไม่กินและที่ทำให้เราหมดความอดทนก็คือแสดงกิริยาสถุนเสเพลมากกับเรา เช่นเรานั่งอยู่หน้าคอมเราดีๆ แล้วจะมีตะกร้าผลไม้เล็กๆวางไว้ใกล้ๆเสมอ แม่งก็อารมณ์คนมันจะหาเรื่องอ่ะนะ เดินมาไม่มีปี่มีขลุ่ยเอามือปัดตะกร้าผลไม้เราตกเกลื่อนเต็มพื้น พอเราหันมองหน้ามัน แม่งเสือกมาชักสีหน้ากับเราคือเป็นการกระทำที่ต่ำและเราไม่เคยคิดหรือสงสัยเลยก่อนหน้าที่จะตัดสินใจแต่ง เราก็ใช้เวลาดูใจกันอยู่เป็นปีๆเหมือนกัน แบบเราอยู่ไทยเขาอยู่ฮ่องกง 2-3เดือนเจอกันที เชื่อมั้ยคะว่ามันสร้างภาพเป็นคนดีได้แนบเนียนตุ๊กตาทองมากๆ ซึ่งต่างกับหลังแต่งงานจากหน้ามือเป็นหลังทรีนเลย555 (ร้องไห้หนักมาก) ด้วยความโมโหบวกกับหงุดหงิดที่หาวัดไม่เจอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลยบ่นปนแช่งด้วยความคับแค้นใจไปว่า”อย่าให้กุถุกหวยรวยแชร์ขึ้นมาซักทีนะเมิงงงง กุจะสร้างวัดไทยไว้ข้างบ้านให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย”  ฉุนไม่เลิก...ไหนๆก็ไหนๆละ.....อยากรู้จริงๆว่าผู้ศรัทธาศาสนาอื่นๆเขาต้องลำบากลำบนอย่างกุบ้างมั้ย เวลาอยากจะแสดงความศรัทธาซักทีนึงเนี่ย...ก็บ่นในใจไป มือก็พิมพ์เซิซหาละ คือต้องขอสารภาพก่อนตรงนี้เลยว่า มันเริ่มต้นจากความโมโหฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดโดยแท้ มิใช่ด้วยจิตใจที่เลื่อมใสหรืออยากจะศรัทธาอะไรเลยในตอนแรก เรื่องของเรื่องคือกุพาลนั่นเอง5555+
เปิดเข้า Google มาก็เซิซหาเลย “โลกนี้มีกี่ศาสนา?  อะไรบ้าง? “ ป๊าบๆๆๆๆ....
 ขึ้นมาพรึ่บๆๆๆๆ.......  อ่ะก็จิ้มๆๆๆ....  คลิกๆๆๆๆ....... อ่านๆๆๆๆ......ในหัวก็คิดไป เอ๊ะ..จะอ่านศาสนาไหนก่อนดีน๊า? คริสต์ / ฮินดู / เชน / ซิกข์ / โซโรอัสเตอร์ / อิสลามเหรอ ฝันไปเถอะไว้เป็นตัวเลือกสุดท้ายละกันนะยะ ( ปากดีไงตอนนั้น)
สุดท้ายก็มาเลือกศึกษาศาสนาฮินดูก่อนเลย เพราะรู้สึกจะใกล้เคียงกับศาสนาพุทธของเราที่สุดแล้วล่ะ ..อ่ะ ก็ได้อ่านๆๆๆๆยิ่งอ่านก็รู้สึกมันเริ่มจะแตกหน่อออกไปเรื่อยๆ ไปถึงลัทธิแก้ผ้าชีเปลือย อะไรไม่รู้ ไม่เจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก
ไหนลองอ่านหลักคำสอนของเขาซิ...เออ..ก็คล้ายๆกันกับศาสนาพุทธของเรา งั้นไม่ต้องอ่านมากเสียเวลา อ่านไปอ่านมาชักจะเริ่มเพลิน เผลออีกแพล๊บ ทีนี้ยาวไปโน่นมหากาพย์มหาภารตะซะเลย 5555    ไปกันใหญ่เลยทีนี้ ช่วงประจวบเหมาะได้เจอบอสเป็นคนอินเดีย ศาสนาฮินดู ก็เลยโชค2ชั้นเลยดิ ทั้งได้เรียนหลักการเกี่ยวกับตัวศาสนาในอินเตอร์เน็ตและยังได้สัมผัสกับผู้ที่ศรัทธาแบบใกล้ชิดด้วยและมันก็ช่วยให้เรารู้จักศาสนาวัฒนธรรม การใช้ชีวิต รวมไปถึงวิธีที่พวกเขาคิด และอะไรๆอีกมากมายอย่าง
เออ..จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกันนะ ตื่นเต้นด้วย ได้ความรู้ และให้ได้คิดตามเพลินเลยแหละ แต่เชื่อไหมว่า...ตลอดช่วงเวลาที่เล่าๆมา... เรามองข้ามศาสนาอิสลามมาตลอดเนื่องจากมีอคติกับศาสนานี้เพราะจากการที่ได้ดูตามข่าวทุกๆวัน บอกตัวเองเลยวันนั้น ศาสนาอิสลามนี่ขอให้เป็นตัวเลือกสุดท้ายที่ชั้นจะเลือกศึกษา นี่ไงคนเรา... เคยดูถูกดูหมิ่น มีใจอคติกับเขา ทั้งๆที่เขาไม่เคยได้มาทำอะไรที่ไม่ดีต่อเราเลย แต่เพราะความที่รู้เท่าไม่ถึงการ จากการเติบโตมาและเหมือนโดนสื่อเสี้ยมสอนและปลูกฝังเราทางอ้อมโดยใช้ทีวีเป็นอาวุธวันละนิดวันละน้อย ผ้าขาวบริสุทธิ์มันก็จะเริ่มค่อยๆเปลี่ยนสีของมันเองช้าๆแบบเนียนๆ ก็เค้าถึงบอกไงว่ามีลูกเล็กเด็กแดงอายุยังไม่ถึง6ขวบเป็นอย่างน้อย ห้ามให้เขาดูทีวีเด็ดขาด เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการการเติบโตทางด้านสมองของเด็กระยะยาว แล้วดูข่าวในทุกวันนี้ ไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่มีข่าวมุสลิมใจโหดโจรใต้เผาโรงเรียนฆ่าครู คาร์บอมโน่นนี่นั่น คือถ้าได้ยินคำว่ามุสลิมนี่ก็เป็นอันเข้าใจว่าพวกเหล่าโจรใต้นั่นเอง (คือสื่อให้ข้อมูลมาแค่นั้นไงในสมัยนั้น อิอิ) และอะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวกับความโหดร้ายและการกระทำของพวกมุสลิมอิสลามทุกวันๆ มันจึงกลายเป็นความรู้สึกรังเกียจ(พี่น้องมุสลิมอย่าเพิ่งโกรธฉันนะคะฉันเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาบางทีฟังดูแล้วไม่หวานหู ไม่น่าฟังเท่าไหร่ แต่มันก็คือความจริงที่ฉันเคยได้คิดผิดทำผิดเกี่ยวกับมุมมองในศาสนาของพวกคุณ) นั่นก็เพราะเราได้รับอิทธิพลมาจากสื่อที่ต้นตอก็มาจากตะวันตก คนที่กุมสื่อสารทั่วโลกไว้ในมือไม่ว่าจะเป็นสื่อวิทยุกรือโทรทัศน์ ล้วนแต่เป็นศัตรูของอิสลามทั้งนั้น และเราก็ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเรามักจะเจอแต่ข่าวด้านลบของชาวมุสลิม แต่ไม่ยักกะเห็นข่าวชาวยิว ชาวคริสต์ที่จิตวิตถารออกมาให้เราได้รู้เห็นกันบ้างเลย ทั้งที่สหรัฐฯก็มีคดีอาญาเยอะแยะมากมายแทบจะทุกรัฐในแต่ละวัน เราก็เลยกลายเป็นเด็กที่มีนิสัยเหยียดสีผิวมาอยู่ในตัวตั้งแต่มะไหร่ก็ไม่รุ้เหมือนกัน กับความคิดในวัยเด็กช่วงประถมเลย ถึงกับเคยลั่นวาจาออกมาเป็นหนักเป็นแน่นเล้ยยยว่าถ้าโตขึ้นชั้นจะไม่เอาแฟนที่ผิวดำหรือคล้ำกว่าเราเด็ดขาด และเรายังจำคำพูดนี้ได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นพูดก็คงไม่คิดอะไร แต่สุดท้าย อะไรที่เคยพูดว่าเกลียด ไม่ชอบ ไม่เอา ไม่อยากเจอ มันได้เจอครบหมดเลย -_-“
และหลังจากที่เราได้มาศึกษาอิสลาม เชื่อมั้ย..หลังจากที่เราได้ดูคลิปในยูทูบเรื่อง “มหัศจรรย์แห่งอัลกุรอ่าน” เท่านั้นแหละ เฮ้ย...บอกตรงๆว่า..อึ้ง.. และก็ทึ่งมาก เฮ้ยอัลกุรอ่านรู้ได้ไง ?? ความคิดจึงค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดๆ เริ่มเปิดใจให้ศาสนาอิสลามมากขึ้นทีละหน่อยๆ ยิ่งอ่านยิ่งดูยิ่งศึกษาหาข้อมูลยิ่งได้รู้ถึงหลักคำสอนที่แท้จริงแบบเจาะลึกก็ยิ่งรู้สึกสนุกและตื่นเต้น อยากจะค้นหาต่อไป อยู่ตลอดเวลา เรามันเด็กสายวิทย์-คณิต-ดาราศาสตร์มาตั้งแต่เล็กๆ แล้วพอได้มารู้ว่าบทความ คำสอนทั้งหมดในอัลกุรอ่าน เกือบจะทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้แล้วด้วยเทคโนโลยียุคศรรตวรรษที่20ของเรานี่เอง ตรงนี้นี่แหละที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต ตั้งแต่นั้นก็ตัดขาดจากวิถีชีวิตแห่งชาวพุทธที่เคยดำรงมา20กว่าปี แล้วเริ่มชีวิตใหม่ในโลกอิสลาม อ้อ..แล้วไอ้เรื่องที่คนส่วนใหญ่คิดกันไปว่าเปลี่ยนเพราะแฟนนั้น บอกตรงนี้เลยว่า..ไม่ใช่  แรงจูงใจที่อยากจะศรัทธาแรกๆนั้น เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้รู้จักกับคัมภีร์อัลกุรอ่าน แล้วต่างหากล่ะ   เพราะฉะนั้น การที่เราเลือกศรัทธาอัลลอฮ์ครั้งนี้ล้วนแต่เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเราเองทั้งนั้น
ไม่ได้มีใครชักชวนหรือชี้แนวทางใดใดทั้งนั้น แรงศรัทธาจากหัวใจของเราเอง จะเซ็ดหรือซานิก็ไม่มีใครได้เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับการตัดสินใจของเราทั้งนั้นค่ะ
อันที่จริงทั้งหมดทั้งมวลแล้ว...จะเรียกเราว่ากำลังตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำ ก็คงไม่ผิด
ถึงขั้นถอนตัวไม่ขึ้นแล้วก็ว่าได้  แต่ไม่ใช่กับหนุ่มมุสลิมหล่อรวยที่ไหนหรอกนะ  แต่ตกหลุมรักคัมภีร์อัลกุรอ่านต่างหากไงล่ะคะ
ถ้าใครไม่เชื่อ คิดว่าเราพูดเว่อร์เกินจริง เราก็ขอท้าให้คุณลองไปหาคลิปบนยูทูบดูเลย ไม่ต้องเยอะ ซักคลิปเดียวก็พอ คลิปที่เพิ่งบอกไปก็ได้ “มหัศจรรย์แห่งคัมภีร์อัลกุรอ่าน” ประมาณนี้ รับรอง เชื่อเถอะว่าหยุดดูหรือฟังต่อไม่ได้อะ จะต้องดิ้นรน ค้นหาทุกเวลาที่รู้สึกว่าว่าง  เพราะเราเป็นอยู่ทุกวันนี้ยังสนุกและเพลิดเพลินมีความสุขมากขึ้นในชีวิตที่ได้มีโอกาสมาเป็นบ่าวของอัลลอฮฺอีกด้วย
** บิสมิลลาห์ ลาเฮาลา วาลากูวาตา อิลลา บิลลาหฺ **
( ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ไม่มีอำนาจอละพลังใดใด นอกจากพลังอำนาจของพระองค์ )
อะอูซู บิกาลีมาติลลา ฮิตตาม มาติ มิงซัรรีมาคอลัก
อะอูซู บิกาลีมาติลลา ฮิตตาม มาติ มิงซัรรีมาคอลัก
อะอูซู บิกาลีมาติลลา ฮิตตาม มาติ มิงซัรรีมาคอลัก

( ฉันขอความคุ้มครองด้วยพระดำรัสของอัลลอฮฺที่สมบูรณ์ยิ่งให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายที่พระองค์ทรงสร้าง )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น