ตั้งแต่เมื่อคุณได้ถือกำเนิดเกิดมาบนโลกใบนี้
คุณเคยรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆมากมายที่อยู่รายรอบตัวคุณเองบ้างไหม? คุณเคยตั้งคำถามในสิ่งที่คุณอาจจะไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น
หรือไม่เข้าใจในสิ่งนั้นๆ
แล้วคุณเคยลองหาคำตอบให้กับคำถามมากมายเหล่านั้นของคุณดูบ้างหรือเปล่า? หาคำตอบที่เป็นความจริงด้วยตัวคุณเอง
ไม่ใช่การรับมาจากสื่อหรือจากคำบอกเล่าปากต่อปาก เช่น... ”เขาว่ากันว่า...บลา
บลา บลา ” อะไรประมาณนั้นดูบ้างหรือยัง?
ฉันเรียกทฤษฏีนี้ว่า “Learning by Doing” (เรียนรู้ด้วยตัวเอง)
ฉันก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง
ที่อาจจะโชคดีกว่าเด็กคนอื่นๆก็ตรงที่ฉันได้รับอิสระในการมีชีวิตในทุกๆด้าน
มันคือรากฐานที่แข็งแกร่งจากครอบครัวในวัยเด็กช่วง12ปีแรกของฉันเอง
มันคือการปูพื้นที่เข้มแข็งและทนทาน
ซีเมนต์ก็ยังต้องอาย 555 นี่แหละคือสมบัติที่ล้ำค่าที่หลงเหลือไว้ให้ฉันเพียงอย่างเดียว
เมื่อแขกที่ได้รับเชิิญที่ชื่อว่า " อีล้มละลาย "
ได้เข้ามาเยี่ยมครอบครัวฉัน
แต่ฉันก็ยังคิดเสมอว่าฉันโชคดีแล้วที่ได้มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบมาตั้งแต่แรกเกิด
ฉันโชคดีที่ได้เติบโตมาในสังคมและสภาพแวดล้อมที่มนุษย์โลกขณะนั้นยังดำเนินชีวิตอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงกันอยู่(ซึ่งหาได้ยากมากมายกับวิถีชีวิตในโลกปัจจุบันนี้
(ค.ศ.2015 / พ.ศ.2558) แต่ที่โชคดียิ่งกว่าก็คือ..ฉันได้รับอิสระในการเลือกรับ
รู้ ดู เห็น ฟัง แม้กระทั่งอำนาจในการตัดสินใจในทุกๆปัญหาที่เข้ามาในชีวิตได้เอง
ฉันมีสิทธิ์ในการเลือกที่จะรับหรือไม่รับ จะเรียนหรือไม่เรียน
แม่กระทั่งจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งต่างๆ ได้อย่างที่ใจฉันต้องการ
พ่อและแม่ไม่เคยบังคับตั้งแต่เล็กจนโต
บางทีพวกเขาคงจะมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวฉัน(รัศมีอำมหิต555) และสิ่งนั้นมันก็คงจะมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจไร้กังวลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่จะกำลังจะมาในอนาคต
นั่นก็เพราะพวกเขารู้ดีว่าฉันจะสามารถเอาตัวรอดและยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อได้โดยลำพัง
บนโลกที่โหดร้ายใบนี้อย่างแน่นอน
และสิ่งต่างๆที่กำลังจะเข้ามาในชีวิตฉันนี่แหละที่คอยหล่อหลอมให้ฉันยังเป็นฉัน
เป็นคนที่ยึดมั่นและหนักแน่นในอุดมการณ์&ความเชื่อของตัวเองไม่มีเสื่อมคลาย
ประสบการณ์ชีวิตที่เราได้ผ่านพ้นมามันมีีค่า
ทั่ี่ไม่ว่าสถาบันการศึกษาชั้นนำบนโลกนี้รวมกันทั้งหมดแล้วก็ยังไม่อาจจะเทียบได้กับประสบการณ์ชีวิตเพียงเศษเสี้ยวของทั้งหมดที่ได้เคยผ่านพบมา
ขอบคุณพ่อกับแม่นะ ที่แม้จะไม่เคยมีคำพูดดีๆ เลิศหรูมาคอยพร่ำสอนเลย แต่กลับตรงกันข้าม
คือทำทุกอย่างให้เราได้รู้ได้เห็น ไม่เคยปิดกั้นการเรียนรู้จากการมองเห็นไม่พอ
ยังสอนให้เราช่วยแพ็คห่อกัญชาสำหรับไว้ขายอีกด้วย คือตั้งแต่จำความได้ก็คลุกคลีอยู่กับชีวิตแบบนี้แล้ว
มันคือวิถีแห่งชีวิตด้านมืด ที่ไม่ว่าจะสังคมไหนหรือในยุคใดใดก็ตามมักจะเลือกมราจะปิดบังซ่อนเร้น
ปกปิดมันไว้ให้ห่างไกลจากเด็กที่ไร้เดียงสา โดยเฉพาะกับเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเรียนรู้
(ความจำแม่งดีชิบหายยย555)
แต่ทุกวันี้ฉันก็ยังสงสัยอยู่ลึกๆในใจว่า
แท้จริงแล้ว เด็กทุกคนต้องไร้เดียงสาเหรอ?
หรือหากใช่ แล้วอายุเท่าไหร่ล่ะ ถึงจะพ้นจากวัยที่เรียกว่า ไร้เดียงสา นี้? (และฉันก็จะต้องพิสูจน์ทฤษฏี “ความไร้เดียงสา” นี้ต่อไปในอนาคตย่างแน่นอน)
ใครหนอที่เปรียบเด็กไว้ว่าบริสุทธิ์ดุจดังผ้าขาว
แต่คุณอาจจะลืมสัจจะธรรมอะไรในชีวิตบางอย่างไปหรือเปล่า? สัจจธรรมที่ว่า...
”แท้จริงแล้วเราต่างก็เกิดมาเพื่อเรียนรู้
ในสื่งที่ต่างๆที่เราไม่เข้าใจ หรืออาจจะเข้าใจ แต่ไม่อยากจะยอมรับ
หรืออาจจะเข้าใจแบบผิดๆ พระผู้เป็นเจ้าจึงมอบโอกาสอันมีค่าแก่เรา
บางศาสนาอาจจะแทนตัวเองว่า เป็นบ่าวของพระองค์ เป็นสาวก เป็นลูกเป็นหลาน
หรือแตกต่างกันออกไปตามหลักความเชื่อในศาสนาของตน
เป้าหมายก็คือต้องการให้เราได้แก้ไขเรื่องราวที่พวกเราได้เคยผิดพลาดมาในอดีตทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือเคยเกิดขึ้นมานานหลายภพหลายชาติแล้ว
แก้ไขสิ่งที่ผิด ดำเนินชีวิตในแบบที่ถูกโดยมีพื้นฐานของความ”ดี”และ”ชั่ว”เป็นหลักยึดมั่นและควรปฏิบัติ”
ขอบคุณ ”พรสวรรค์” ” แต่ฉันคิดว่าน่าจะเป็น
“ของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้าหรือพระผู้ทรงสร้าง” มากว่า ที่มอบเอาไว้ให้ติดกายตั้งแต่เกิดเพื่อเป็นอาวุธไว้ใช้ต่อสู้และอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ กับไอ้นิสัยชอบเดา ชอบคาดคะเน และมักจะใช้ผลจากความรู้สึกที่ว่า ”มันน่าจะเป็น” แทนคำตอบในกระดาษข้อสอบของฉันแทนคำตอบที่ฉันไม่รู้
และมันก็มักจะถูกต้องเสมอ อย่างน้อยก็ 99% แหละนะ อิอิ
และฉันก็ได้ยึดเอาหลักการนี้เป็นเครื่องมือช่วยนำทางชีวิตฝ่าฟันวิกฤติ
หลังจาก12ปีที่ช่างสมบูรณ์กำลังจะผ่านพ้นชีวิตฉันไป......
ตลอดกาล.... /// ( อ่านต่อวันหลัง....... ) \\\
❁ ทานตะวันสีชมพู ❁
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น