Translate

แผนครองโลก

ความจริงก็คือพวกไซออนิสต์ - อิลลูมินาติ และ ฟรีเมสัน  (ลัทธิบูชาซาตาน) ต้องการจะครองโลก


เอาศาสนามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง คนในศาสนาเดียวกันเป็นพี่น้องกันต้องมาฆ่ากัน

ประวัติศาสตร์โลกต้องย้อนศึกษาร่องรอยในอดีตที่ผ่านมา เพราะอิทธิพลของลัทธิไซออนิสต์ ทำให้สื่อที่บอกกล่าวความจริงต่างๆในอดีตถูกลบกลบไปด้วยกระบอกเสียงของพวกมัน เรื่องราวที่สำคัญก็กลับถูกทำให้กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่จดจำ พวกมันบอกเล่าความจริงเพียงบางส่วน และความจริงเหล่านั้นก่อความพินาศได้ดีซะยิ่งกว่าการโกหกทั้งหมดเลยเสียอีก พวกมันใช้อำนาจสื่อเพื่อกลืนกินและควบรวมจัดการสถาณการณ์ความเป็นไปต่างๆของโลก และสถานการณ์โลกที่มันใช้โอกาสจากอำนาจของสื่ออยู่เสมอก็คือ สงคราม การพิชิตดินแดนต่างๆ การกำหนดเส้นแบ่งพรมแดนประเทศต่างๆ การสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพรมแดนต่างๆของโลก เพื่อการสร้างบรรยากาศความไม่สงบในสงครามกู้อิสรภาพ และสร้างสันติภาพบนความเดือดร้อนของประชาชน เป็นเงื่อนใขให้ผู้นำประเทศต่างๆปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของพวกมันหลังจากเข้ายึดกุมเหนือสังคมและเศรษฐกิจเรียบร้อยแล้ว คือการทำให้ผู้คนกลายเป็นทาสทางความคิด และเข้าปกครองโดยนำเสนอให้ผู้คนดำรงชีวิตไปตามอารมณ์ และความรุนแรง ตัณหาราคะ ความสนุกสนานไร้สาระต่างๆของโลก สื่อบันเทิงต่างๆของมันจะทำหน้าที่รังสรรค์ขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ใช้สติปัญญาของตัวเองในการแสวงหาสัจธรรมและความจริงเกี่ยวกับเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตของตน จนในที่สุดผู้คนจะปฏิบัติตาม และดำรงชีวิต ถือค่านิยมตามแบบอย่างที่สื่อต่างๆของพวกมันสร้างขึ้น ในที่สุดก็ชักนำผู้คนสู่อิสระภาพที่ไร้กฏเกณฑ์และการปฏิเสธฝ่าฝืนกฏหมายพระเจ้า และหลงไหลอยู่กับความสุขของโลกดุนยาและปฏิเสธไม่ยอมรับถึงการมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย หากใครติดตามและเสพสื่อต่างๆเหล่านี้อยู่ก็ขอให้ระมัดระวังเพระเหล่านี้คือกระบอกเสียงของไซออนิสต์
มีสิ่งต่างๆ ถูกวางอยู่ภายใต้แนวคิด one world  ความเจ็บปวดและความเกลียดชัง พลังอำนาจและเล่ห์เหลี่ยม ความอ่อนแอและความทารุณ  ความหวังและความมุ่งมั่น ความเย่อหยิ่งและการเย้ยหยัน องค์กรที่ดี และการดำรงอยู่อย่างยั่งยืน เราจะรู้จักไซออนิสต์ได้จาก อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นคู่ติดตามกันนี้ ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงมันเพียงในฐานะที่เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 เพราะมันเป็นองค์กรเก่าแก่กว่านั้น ตลอดสามพันปีที่ผ่านมา อุดมการณ์นี้ถูกสอนสั่งในกลุ่มชนของพวกเขา
Elemental correspondences: Fire-Water-Air-Earth, North-South-East-West, Spring-Summer-Autumn-Winter
  1. ชาวยิวคือสายเลือดที่พระเจ้าทรงเลือก
  2. บุคคลที่ไม่ใช่ยิวไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่เดินด้วยสองเท้า ที่พวกเขาเรียกว่า กอยส์
  3. ชาวยิวมีสิทธิและข้อผูกพันเหนือกฏหมายที่จะใช้ปกครองโลก
ด้วยลักษณะนิสัยของกลุ่มชนนี้ที่อยู่อย่างไร้ศาสนาและนิยมการใช้เหตุผลที่น้อมตามอารมณ์ไฝ่ต่ำ พระเจ้าในความหมายของพวกเขา คือภูมิปัญญาแห่งจักรวาล ก็คือธรรมชาตินั่นเอง ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นกลุ่มชนที่ถูกคัดสรรโดยธรรมชาติ ผนวกกับแนวคิดชาติพันธ์นิยมที่ฝังแน่นอยู่ ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่า กลุ่มชนที่ชาญฉลาด มีทักษะความเชี่ยวชาญ มีความกล้า คือชนชาติที่ดีที่สุด และจะทำหน้าที่ถือคบเพลิงส่องสว่างให้แก่ชนชาติอื่นๆ สิ่งนี้ถูกปลูกฝังสู่ลูกหลานของพวกเขาตั้งแต่วัยแบเบาะ และก็แปลกที่ชนชาติที่ไม่ใช่ยิวก็กลับเห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่ามนุษย์เป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่เดินด้วยขาสองข้าง เผ่าพันธ์ที่เป็นเลิศที่สุดย่อมอยู่เหนือสุดของห่วงโซ่อุปทาน และมีสิทธิที่จะใช้แรงงานและผลประโยชน์จากเผ่าพันธ์ที่อ่อนด้วยกว่า ด้วยความคิดเช่นนี้ชาวยิวจึงล่อลวงมนุษย์ที่พวกเขามองว่าเป็นสัตว์ให้ก่อสงครามฆ่าฟันกัน และถือโอกาสเข้าปล้นความมั่งคั่งของประชาชาติอื่น ด้วยวิธีการนี้พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าได้มอบความมั่งคั่งให้แก่พวกเขา และในที่สุดอุดมการณ์ชาตินิยมจึงถูกวางไว้บนความหลงไหลในโลกวัตถุ “ปล้นความมั่งคั่งแล้วสร้างกฏกติกา สร้างกฏกติกาแล้วเข้าปล้นความมั่งคั่ง เงินตราและพลังอำนาจ” สูตรสำเร็จทั้งสามถูกใช้เรื่อยมา แก่นของทั้งหมดคือสูตรสำเร็จที่สาม ชาวยิวต้องได้และจะต้องได้รับพลังอำนาจที่ไม่มีใครเทียบเทียมเหนือโลก ด้วยพลังของเงินตราและอำนาจเหนือกฏหมาย
ความเป็นมาของเผ่าพันธ์ยิว
กับบทบาทของชาวยิว ที่ในอดีตพวกเขาเคยอยู่อย่างลับๆแตกกระสายซ่านเซ็นไปทั่วโลกไม่มีดินแดนเป็นของตัวเอง พวกเขาได้รับการลงโทษของอัลลอฮฺที่พวกเขาฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ และฆ่าบรรดานบีที่พระองค์ส่งลงมาตักเตือนพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาเคยถูกลงโทษด้วยการเป็นทาสถูกใช้งานอย่างทารุณในสมัยปกครองของฟาโรห์แห่งอียิปต์ และได้รับการปลดปล่อยออกมาโดยโมเสส(นบีมูซา) หลังจากพวกเขารุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยกษัตริย์ที่ชื่อเดวิด(นบีดาวุด) และโซโลมอน(นบีสุไลมาน) เหนือดินแดนอิสราเอลที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับสู่การแตกแยกและการฝ่าฝืนเช่นเดิม พวกเขาจึงถูกลงโทษอีกครั้ง ด้วยการถูกทำลายล้างและจับไปเป็นทาสโดยเนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลเนีย เมื่อบาบิโลเนียล่มสลายและถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรเปอร์เซีย และโรมันตะวันออก นับแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็กระจายไปทั่วดินแดนอื่นๆโดยไม่เคยได้หวนกลับไปอยู่ในดินแดนอิสราเอลดินแดนแห่งคำมั่นสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าอีกเลย
จากการทำลายล้างของกษัตริย์เนบูคัดเนซซาร์แห่งบาบิโลเนียนี้เอง ที่ชาวยิวได้รับการลงโทษอย่างอัปยศอย่างที่สุด อาจเรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดของศาสนาของพวกเขาเลยก็ว่าได้ พวกเขาไม่อาจรักษาแม้กระทั่งคัมภีร์ของพวกเขา นั่นคือคัมภีร์อัตเตารอตเอาไว้ได้ บางคนต้องฝังม้วนคัมภีร์ไว้ใต้ผืนดิน หรือไว้ในไหในหีบและเอาไปซ่อนไว้ตามถ้ำ เพื่อว่าหากในอนาคตลูกหลานกลับสู่ดินแดนอิสราเอลนี้ก็จะได้มีคัมภีร์ไว้ศึกษา  แต่ทว่าลูกหลานชาวยิวที่ถูกจับไปเป็นเชลยนั้น กลับรักษาคัมภีร์สุดท้ายและดำรงไว้เป็นหลักยึดถือได้เพียงแค่คัมภีร์ตัลมูด และที่ซ้ำร้ายกว่านั้น คัมภีร์ตัลมูดนี้กลับถูกบิดเบือนโดยนักบวชชาวยิวแห่งบาบิโลเนีย กลุ่มหนึ่งที่ชื่อ ฟาริซีย์  จนคัมภีร์ตัลมูลกลายเป็นคัมภีร์ (ตัลมูดแห่งบาบิโลนที่ชั่วร้ายที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์เสียแล้ว
ความเป็นมาของเผ่าพันธ์ที่มิใช่ยิว
นักบวชยิวแห่งบาบิโลเนีย(ฟาริซีย์) แทรกซึมเข้าไปในอาณาจักรหนึ่งในยุโรปตะวันออก ที่ชื่อ คาร์ซาเรีย(KHAZARIA) กินพื้นที่ บัลแกเรีย(BULGARS) ฮังการี(HUNGARY) ยูเครน( KIEV) จอร์เจีย (GEORGIA) และส่วนหนึ่งรัสเซียในปัจจุบัน (BURTAS BULGARS GHUZZ) ดินแดนแห่งนี้ยังเป็นยุทธภูมิต่อต้านการเผยแพร่อิสลามของกองทัพที่รุ่งเรืองที่สุดของอาหรับภายใต้การนำทัพของคอลีฟะฮฺแห่งแบกแดด ฮารูน อัรรอชีด โดยทำหน้าที่ปกป้องยุโรปทางฝั่งตะวันออก ในขณะที่กองทัพชาลมานแฟรงค์ทำหน้าที่คอยปกป้องยุโรปฝั่งตะวันตก  ดินแดนแถบนี้มีสภาพทางภุมิศาสตร์คล้ายคลึงกับดินแดนที่ถูกบ่อนทำลายโดยยะยูจและมะยูจ และมีที่ตั้งของกำแพงเหล็กซึ่งเป็นป้อมปราการกั้นขวางไว้ระหว่างทะเลแคสเปียนกับเทือกเขาคอเคซัส
แผนที่แสดงอาณาจักร อัลคาร์ซาร์ KHAZARIAอาณาจักรที่ปกครองด้วยศาสนายิวแห่งสุดท้าย
คอลีฟะอับดุลรอฮฺมานแห่งคอร์โดบานับถือในความสามารถของยิวคนหนึ่งที่ช่วยพัฒนานโยบายเศรษฐกิจและวิทยาการให้แก่อาณาจักรมัวร์ จึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ การทำหน้าติดต่อกับประเทศต่างๆทำให้เขารับรู้ความเคลื่อนไหวของยิวทั่วยุโรป และได้รับรู้ข่าวการดำรงอยู่ของอาณาจักรหนึ่งที่กษัตริย์รับศาสนายิวและปกครองด้วยศาสนายิวจากพ่อค้าชาวอาหรับเปอร์เซีย เขาจึงส่งสารไปให้กับกษัตริย์แห่งดินแดนยุโรปตะวันออก อัลคาร์ซาร์  กษัตริย์คนนี้เคยเป็นชนชาติที่ไร้อารยธรรมเคารพบูชาธรรมชาติ และภูติผี เมื่อเห็นชาวยิวมีวิทยาการที่สูงส่งกว่าจึงรับศาสนายิวและใช้กฏหมายยิวมาปกครองดินแดนของตน เขาเชื่อมั่นในคำสอนที่ว่าพระเจ้าได้มอบปาเลสไตน์ให้เป็นดินแดนแห่งพันธสัญาแก่ลูกหลานของอิสราเอลและจะมีกษัตริย์(เมสไซอาห์)ผู้หนึ่งซึ่งจะมาในยุคสุดท้ายทำหน้าที่ปกครอง เขาจึงเป็นบุคคลกลุ่มแรกๆที่ริเริ่มอุดมการณ์ โยกย้ายชาวยิวกลับสู่อิสราเอล ในขณะที่เผ่าพันธ์ป่าเถื่อนของเขามิได้สืบเชื้อสายอิสรออีลซึ่งเป็นเชื้อสายเซมิติก ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่ายิวเชื้อสายที่ 13 หรือยิวผิวแดง อันเนื่องจากสีผิวตามเชื้อสายของพวกเขา
พวกเขาปกครองอาณาจักรด้วยกฏหมายของคัมภีร์ตัลมูลแห่งบาบิโลเนีย ซึ่งเต็มไปด้วยพิธีกรรมความเชื่อทางไสยศาสตร์เวทย์มนต์ ซึ่งทำให้ชาวยิวในอาณาจักรนี้กลายเป็นพวกนอกรีตที่ยึดถือซาตานเป็นพระเจ้า และไม่เหลือเค้าแห่งศาสนาดั้งเดิมที่ปฏิบัติตามคำสอนในคัมภีร์เตารอตอีกเลย อันเนื่องมาจากพวกเขาเชื่อว่านักบวชเหล่านี้สามารถบรรลุถึงสถานะของความเป็นพระเจ้าได้ สามารถอ่านจารึกคัมภีร์บางส่วนที่คนทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้ อันนำไปสู่การเสกสรรค์คัมภีร์ขึ้นใหม่เพื่อผลประโยชน์ของนักบวชยิวเหล่านั้น นักบวชยิวเหล่านี้ปฏิบัติตามลัทธินอกรีตคาบาล่า(Cabbala) ลัทธินี้เชื่อในไสยศาสตร์ เวทย์มนต์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทวินิยม (การก่อเกิดของสิ่งต่างๆอันเกิดจากสถานะของคู่ตรงข้างของสองสิ่งซึ่งเป็นผลิตผลจากภูมิปัญญาแห่งจักรวาล Tree of life (คุณลักษณะอันหลากหลายแห่งความเป็นพระเจ้า บนโครงสร้างเสาสามต้น)

ที่มา : http://occult-advances.org/elements.shtml
https://assabikoon.wordpress.com/

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่น่าเชื่อว่ามีคนไทยสนใจเรื่อง new world order ด้วย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. แน่นอนค่ะ เราค่อยข้างจะหมกมุ่นเลยก็ว่าได้ คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่องเพราะเพื่อนและคนรอบข้างไม่มีใครสนใจหรือให้ความสำคัญ

      ลบ